วันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2555

รางจืด...ราชาแห่งยาแก้พิษ

รางจืด...เป็นสมุนไพรชนิดเดียวที่มีการใช้แก้พิษในอดีตและมีข้อมูลการวิจัยสนับสนุน

 รางจืด...ล้างพิษสารเคมีกำจัดศัตรูพืช

ด้วยกระแสของการพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตร ที่เกษตรกรต้องใช้ยาฆ่าแมลงและสารเคมีจำนวนมากในการผลิต จากการสำรวจตัวอย่างเลือดของเกษตรกรของกระทรวงสาธารณสุข พบว่า มีสารเคมีในกระแสเลือดอยู่มากว่าร้อยละ ๕๑ เพราะฉะนั้นจากเกษตรกร ๑๔.๑ ล้านคนจะพบ ๗ ล้านกว่าคนมีสารพิษฆ่าแมลงทั้งชนิดออร์กาโนฟอสเฟต (organophospjate) คาร์บาเมต (carbamate)  และอาการที่เกิดขึ้นคือ วิงเวียนศีรษะ อาเจียน ปวดเมื่อย และระบบสมองเสื่อมเร็ว รวมไปถึงการพัฒนาสู่การเป็นมะเร็ง ด้วยสภาพการณ์เช่นนี้นับว่าเป็นสิ่งที่กระทรวงสาธารณสุขเลือกสมุนไพรรางจืดมาทำการรณรงค์เพื่อใช้ล้างพิษในกระแสเลือดให้เกษตรกร ซึ่งรางจืดเป็นสมุนไพรที่มีการศึกษาวิจัยทั้งในห้องทดลองและการศึกษาในคนมากกว่า ๓๐ ปีแล้ว

โดยการศึกษาทางเภสัชวิทยาของรางจืดครั้งแรกเริ่มจาก แพทย์หญิงพาณี เตชะเสน คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พบว่ารางจืดสามารถช่วยชีวิต

รางจืด

ชื่อวิทยาศาสตร์  Thumbergia laurifolia Lindl

วงศ์  Acanthaceae

ชื่อสามัญ  Laurel clockvine, blue trumphet vine

ชื่ออื่นๆ รางจืดมีมากมาย เช่น รางจืด รางเอางย็น ว่านรางจืด เถา ยาเขียว เครือเถาเขียว กำลังช้างเผือก ขอบชะนาง (ภาคกลาง) ย้ำแย้ (อุตรดิตถ์)  ฮางจืด ฮางเย็น เครือเข้าเย็น หนามแน่ (ภาคเหนือ) คาย (ยะลา) และดุเหว่า (ปัตตานี) เป็นต้น

ชื่อวิทยาศาสตร์ Thumbergia laurifolia Lindl.

ลักษณะพิช รางจืดเป็นไม้เถาสามารถเลื้อยไปตามพื้นดินหรือพาดพันขึ้นคลุมต้นไม้ใหญ่ๆ ได้ทั้งต้น เถามีลักษณะกลม สีเขียว เมื่อเถาแก่เป็นสีน้ำตาลมากขึ้น ใบเป็นใบเดี่ยวสีเขียวเข้มออกเป็นคู่ตรงข้ามตรงข้อของลำต้น ใบมีลักษณะคล้ายใบย่านางรูปขอบขนานหรือรูปไข่ กว้าง ๔-๗ เซนติเมตร (ซม.) ยาว ๘-๑๕ ซม. ปลายเรียวแหลม โคนเว้าหรือหยักรูปหัวใจ ขอบใบเรียบหรือหยักตื้น เส้นใบมี ๕ เส้น ออกฐานใบเดียวกัน

ดอกช่อ ออกตามซอกใบใกล้ปลายยอด ช่อละ ๓-๔  ดอก กลีบดอกแผ่ออกเป็นรูปแตร ปลายแยกเป็น ๕ แฉก โคนดอกเป็นหลอดกรวยยาวราว ๑ เซนติเมตร มักมีน้ำหวานบรรจุอยู่ในหลอด สีม่วงแกมน้ำเงิน ผลเป็นผลแห้งแล้วแตก ๒ ซึก จากจะงอยส่วนบน มักมีดอกในฤดูหนาว (เดือนพฤศจิกายน-กุมพาพันธ์) ดอกที่โรยแล้วบางดอกอาจติดผล เมื่อแก่เปลือก ผลเป็นสีน้ำตาล แตกออกเป็น ๒ ซึก เมล็ดมีสีน้ำตาลมีปุ่มเล็กๆ คล้ายหนามอยู่บนเปลือกเมล็ด และสามารถนำไปเพาะขยายพันธุ์ต่อไปได้ แต่การขยายพันธุ์รางจืดส่วนใหญ่นิยมนำเถาแก่หรือใบมาปักชำมากกว่า

การกระจายพันธุ์ รางจืดเป็นพืชในเขตร้อนและเขตอบอุ่นของทวีปเอเชีย ได้แก่ ประเทศแถบอินเดีย อินโดจีน ศรีลังกา พม่า ไทย มาเลเซีย อินโนดีเซีย ฟิลิปปินส์ มณฑลกวางตุ้ง สาธารณรัฐประชาชนจีน และไตหวัน

การขยายพันธุ์  นิยมใช้เถาในการปักชำ ในการชำเถา วิธีที่ดีที่สุดคือเลือกข้อแก่ๆ ของรางจืดที่ใบติดอยู่สอบใบมา ๑ ข้อ เด็ดใบออก ๑ ใบ นำไปชำในทรายหรือแกลบที่ไม่มีดิน รดน้ำให้ชุ่มจนรากงอก จากนั้นนำไปลงถุงเพาะชำ หรือเลือกเถาแก่มาตัดเป็นท่อน ยาวประมาณ ๖-๘ นิ้ว ให้มีตาติดอยู่ ๒-๓ ตา ถ้าชำเถาในฤดูฝนจะออกรากเร็วกว่า

สารพิษฆ่าแมลง ทั้งชนิดออร์กาโนฟอสเฟส (organophostpate)   คาร์บาเมต (carbamate) และอาการที่เกิดขึ้น คือ วิงเวียนศรีษะ อาเจียน ปวดเมื่อย และระบบสมองเสื่อมเร็ว รวมไปถึงการพัฒนาสู่การเป็นมะเร็ง ด้วยสภาพการณ์เช่นนี้นับว่าเป็นสิ่งที่กระทรวงสาธารณสุขเลือกสมุนไพรรางจืดมาทำการรณรงค์เพื่อใช้ล้างพิษในกระแสเลือดให้เกษตรกร ซึ่งรางจืดเป็นสมุนไพรที่มีการศึกษาวิจัยทั้งในห้องทดลองและการศึกษาในคนมากกว่า ๓๐ ปีแล้ว

โดยการศึกษาทางเภสัชวิทยาของรางจืดครั้งแรกเริ่มจากแพทย์หญิงพาณี เตชะเสน คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พบว่ารางจืดสามารถช่วยชีวิตแมวของท่านที่ถูกวางยาพิษได้ จึงเป็นแรงบันดาลใจให้ทำการศึกษาวิจัยรางจืดในการแก้พิษสารกำจัดศัตรูพืชตั้งแต่ พ.ศ ๒๕๒๒-๒๕๒๓ โดยเริ่มจากสารกำจัดศัตรูพืชในกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต (เช่น โฟลิดอล พาราไทออน)

ต่อมามีการศึกษาพบว่ารางจืดยังสามารถลดพิษของสารกำจัดศัตรูพืชกลุ่มคาร์บอเนต เช่น เมโทรมิล เป็นต้น

จากการศึกษาวิจัยการต้านฤทธิ์สารเคมีกำจัดศัตรูพืชของรางจืดนั้นอาจเกิดจากหลายกลไก เช่น

สารสกัดรางจืดทำให้ระดับเอนไซม์โคลีนเอสเทอเรสเพิ่มขึ้น หรือลดการยับยั้งเอนไซม์โคลีนเอสเทอเรส ว ซึ่งเอนไซม์ตัวนี้ทำหน้าที่ทำลายโคลีนที่เป็นสาร สื่อประสาท ที่ทำให้เกิดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ สารกำจัดศัตรูพืชกลุ่มออร์กาโนฟอตเฟตและคาร์บาเมต จะไปทำลายเอนไซม์ตัวนี้ และเกิดการสะสมของโคลีนทำให้กล้ามเนื้อหดเกร็ง นำสู่อาการชัก จากการศึกษาพบว่ารางจืดไปเพิ่มปริมาณของเอนไซม์ดังกล่าว

รางจืด...แก้พิษจากยาฆ่าหญ้า

ยาฆ่าหญ้าจำพวกพาราควอต นับเป็นสารเคมีที่มีพิษร้ายแรงต่อร่างกายมนุษย์มากที่สุดชนิดหนึ่งเนื่องจากในขนาดกินประมาณ ๑ ช้อนโต๊ะ ก็สามารถทำให้คนตายได้ โดยสารตัวนี้จะไปทำให้เกิดการสร้างออกซิเจนที่ไม่เสถึยรขึ้นอย่างมาก ออกซิเจนเหล่านี้จะไปทำลายเยื่อหุ้มเซลล์เกิดการออกซิเดชันของไขมันที่อยู่บริเวณเยื่อหุ้มเซลล์และทำให้เซลล์ตาย พิษของพาราควอตจะเห็นชัดที่สุดในปอดเพราะปอดเป็นบริเวณที่มีออกซิเจรมากที่สุด ซึ่งพาราควอตจะทำให้เนื้อเยื้อปอดถูกทำลายจนไม่สามารถแลกเปลี่ยนออกซิเจนได้จนเสียชีวิตในที่สุด

จากรายงานผู้ป่วยของโรงพยาบาลเจ้าพระ-ยา ยมราช จังหวัดสุพรรณบุรี เก็บตัวอย่างเป็นเวลา ๓ ปี ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๓๓-๒๕๓๕ มีผู้ป่วยที่กินพาราควอตมาที่โรงพยาบาล ๖๔ ราย พบว่ามีผู้ป่วยรอดชีวิต ๓๓ ราย เมื่อเปรียบเทียบย้อนหลังกับการรักษาในช่วง พ.ศ. ๒๕๓๑-๒๕๓๒ มีผู้ป่วยที่กินพาราควอต ๑๑ รายพบว่าเสียชีวิตทุกราย ซึ่งตัวเลขของโรงพยาบาลศิริราชที่มีการรักษาพิษพาราควอตเช่นเดียวกัน มีอัตราการตายประมาณร้อยละ ๘๐  แต่การรักษาพิษพาราควอตนั้นไม่ได้ให้แต่รางจืดอย่างเดียว แต่จะมีการทำให้ผู้ป่วยอาเจียนออกมาก่อนแล้วล้างท้องด้วยฟูลเลอร์สเอิร์ท (Fuller's earth) และทำให้ผู้ป่วยปัสสาวะออกมามากๆ ให้แอนติออกซิแดนซ์หรือสารต้านอนุมูลอิสระ โดยการให้วิตามินซีปริมาณสูงๆ และสตีรอยด์ รวมทั้งการรักษาแบบประคับประคองอื่นๆ ให้ยาต้มรางจืด วิธีเตรียมคือนำใบแห้งหนัก ๓๐๐ กรัม ใส่ในน้ำสะอาด ๑ ลิตร ต้มในหมอดินโดยใช้ไฟกลางเดือนนาน ๑๕ นาที ทิ้งไว้ให้เย็น ให้ผู้ป่วยดื่มหรือให้ทาง NG tube ครั้งละ ๒๐๐ มิลลิลิตร ทุก ๒ ชั่วโมง ตลอดเวลาที่อยู่โรงพยาบาลแม้ว่ารายงานนี้ไม่ถือเป็นงานวิจัยแต่เป็นข้อมูลที่มีประโยชน์มาก

พ.ศ. ๒๕๔๓ มีรายงานการศึกษาสัตว์ทดลองเกี่ยวกับการต้านพิษพาราควอตของสารสกัดด้วยน้ำของใบรางจืด พบว่าสามารถทำให้อัตราการตายของหนูทดลองลดลง รวมทั้งพบว่าหนูกลุ่มที่ได้รับสารสกัดรางจืดมีระดับพลาสม่า malondialdehyde (MDA) ต่ำกว่ากลุ่มควบคุม แสดงว่าสารสกัดใบรางจืดมีฤทธิ์ยับยั้ง lipid peroxidation และฤทธิ์นี้เป็นกลไกการออกฤทธิ์ต้านพิษพาราควอตกลไกหนึ่งของรางจืด รวมทั้งรางจืดยังไปเพิ่มกิจกรรมของเอนไซม์ที่เรียกว่า NADPH quinineoxidonnereductase เป็นเอนไซม์ที่ย่อยสลายสารที่เรา ได้รับเข้าไปในร่างกาย

รางจืด...แก้พิษจากสัตว์ที่เป็นพิษและพืชพิษ

ใช้แก้พิษแมงดาทะเลเป็นอีกหนึ่งรายงานของการใช้รางจืดแก้พิษ เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๒ ที่โรงพยาบาลชุมพรเขตอุดมศักดิ์ มีครอบครัวหนึ่ง ๔ คนที่กินไข่แมงดาทะเล ๒ ราย มีอาการรุนแรงจนหมดสติต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ซึ่งสารพิษที่อยู่ในแมงดาทะเล คือ เทโทรโดท็อกซิน (Tetrodotoxin) สารนี้จะพบในแมงดาทะเลและปลาปักเป้า ซึ่งมีพิษทำให้ผู้ป่วยอาจถึงตายได้

ความรุนแรงของอาการพิษที่เกิดขึ้น ขึ้นอยู่กับปริมาณไข่แมงดาทะเลที่ได้รับ เริ่มแสดงอาการตั้งแต่ ๔๐ นาทีถึง ๔ ชั่วโมง ทุกรายมีอาการชารอบปาก คลื่นไส้ อาเจียน อาการชาจะลามไปยังกล้ามเนื้อมัดต่างๆ ที่เป็นอันตรายคือทำให้หายใจไม่ได้ อาการรุนแรง หมดสติ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ วิธีการรักษาปัจจุบันไม่มีวิธีเฉพาะ ไม่มีสารแก้พิษโดยเฉพาะ ต้องรักษาแบบประคับประคองจนผู้ป่วยขับเอาสารนี้ออกจากร่างกายให้หมดแพทย์ผู้รักษาใช้รางจืดจากการร้องขอของญาติ เมื่อกรอกใส่สายยางลงไป ๔๐ นาที อาการดีขึ้น ซึ่งแพทย์ผู้รักษารู้สึกประทับใจกับรางจืดมากและบอกว่าจังหวัดที่อยู่ชายทะเลปีหนึ่งจะมีคนตายจากพิษแมงดาทะเลหรือปลาปักเป้าทุกปี ถ้าทุกโรงพยาบาลสามารถปลูกต้นนี้และใช้กับผู้ป่วยของตัวเองจะช่วยให้ไม่มีผู้ป่วยเสียชีวิตเพิ่มขึ้น

รางจืด...สู้กับมลภาวะ ออกฤทธิ์ต้านพิษของตะกั่วต่อสมอง

 ตะกั่วเป็นมลพิษที่เกิดจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ คนที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ๆ ที่มีรถติด มีโอกาสได้รับสารตะกั่วสูงกว่าคนทั่วไป พิษตะกั่วต่อร่างกายมี อยู่หลายระบบ ที่สำคัญคือสมอง เนื่องจากตะกั่วจะไปสะสมอยู่ในสมองส่วนฮิปโพแคมพัสซึ่งเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้และความจำ มีงานวิจัยออกว่ารางจืดแม้จะไม่ได้ช่วยลดระดับตะกั่วในเลือดของหนูที่เราให้ตะกั่วเข้าไป แต่ไปช่วยลดพิษของตะกั่วต่อความจำและการเรียนรู้ของหนู และทำให้เซลล์ประสาทตายน้อยลง ด้วยกลไกการต้านออกซิเดชัน โดยตัวของรางจืดเองและการไปช่วยรักษาระดับเอนไซม์ที่เกี่ยวข้อง

รางจืดช่วยในการลด เลิกยาบ้า

จากการที่ชาวบ้านนำรางจืดมาแก้พิษยาเสพติดภาควิชาสรีรวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวทิยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จึงได้ศึกษาฤทธิ์ของสารสกัดรางจืดต่อเซลล์สมอง พบว่ารางจืดมีฤทธิ์ต่อระบบประสาทคล้ายกับสารเสพติดแอมเฟทามีน และโคเคน โดยทั่วไปเพิ่มการหลั่งโดพามีน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่หลั่งมากในขณะที่ผู้ป่วยได้รับสารแอมเฟทามีน รวมทั้งไปเพิ่ม activity ของเซลล์ประสาทในสมองส่วน nucleus accumbens , globus pallidus,amygdala,frontal cortex ,caudate putamen and hippocampus ที่เกี่ยวข้องกับ  reward and locomotor behaviour ทำให้คาดว่าในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยสารสกัดรางจืดอาจเกิดความพิงพอใจเช่นเดียวกับการรับยาเสพติด หากนำไปใช้ในการรักษาผู้ป่วยจะทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องทุรนทรายมาก จึงอาจเป็นสาเหตุหนึ่งทีการรักษาด้วยสารสกัดสมุนไพรได้ผล

ราง...จืดต้านพิษเหล้า

จากการที่ประชาชนส่วนหนึ่งได้นำรางจืดมาใช้ในการต้านพิษสุรา เช่น ใช้เพื่อป้องกันหรือลดอาการเมาเหล้า คณะเภสัชศาตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงได้ศึกษาวิจัยฤทธิ์ของรางจืดในการต้านพิษแอลกอฮอล์ต่อตับ พบว่าสารสกัดด้วยน้ำของรางจืดช่วย ป้องกันการตายของเซลล์ตับจากพิษของแอลกอฮอล์ ทั้งในหลอดทดลองและในหนูแรตทีได้รับแอลกอฮอล์ โดยทำให้ค่า AST,ALT ในพลาสม่าและไตรกลีเซอร์ไรด์ในตับลดลง และลดการเปลี่ยนแปลงสภาพทางจุลพยาธิวิทยาของตับเมื่อเปรียบเทียบกับหนูที่ได้รับเเอลกอฮอล์อย่างเดียว

เนื่องจากสารสกัดด้วยน้ำของรางจืดช่วยลดการเกิด heppatic lipid peroxidation ลดระดับแอลกอฮอล์ในเลือด และเพิ่มระดับเอนไซม์ alcohol dehydrogenase และ aldehyde dehydrogenase

ส่วนมหาวิทยาลัยขอนแก่นได้ศึกษาฤทธิ์ของรางจืดต่ออาการขาดเหล้า พบว่าสารสกัดรางจืดให้ผลลดภาวะซึมเศร้าและทำให้พฤติกรรมที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของหนูเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น แต่ไม่มีผลลดความวิตกกังวล โดยสารสกัดราถงจืดช่วยลดการถูกทำลายเซลล์ประสาทของหนูเนื่องจากขาดเหล้าในสมองส่วน messolimbic dopaminergic system โดยเฉพาะที่บริเวณ  nucleus accumbens และ ventral tegmental area

รางจืด...เพื่อคุณภาพชีวิตของโรคเรื้อรัง

การที่มีหมอยาพื้นบ้านจำนวนหนึ่งใช้รางจืดในการคุมเบาหวานและความดัน ซึ่งมีการทดลองที่สนับสนุนการใช้ดังกล่าวคือ ในหนูเบาหวานที่ได้รับน้ำต้มใบรางจืดทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนน้ำคั้นใบรางจืดสดในขนาด ๕๐ มก./มล.ที่ให้หนูเบาหวานดื่มแทนน้ำนาน ๑๒ วัน ไม่มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด

นอกจากนี้ ยังมีการทดลองพบว่าการให้สารสกัดด้วยน้ำของใบรางจืดมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด และทำให้บีต้าเซลล์ของตับอ่อนฟื้นฟูขึ้นบ้างแม้จะไม่สมบูรณ์ ในเรื่องของฤทธิ์ลดความดันนั้นพบว่าสกัดด้วยน้ำของใบรางจืดแห้งมีผลทำให้ความดันโลหิตของหนูแรตลดลง โดยกลไกการออกฤทธิ์ส่วนหนึ่งอาจผ่าน Cholinergic receptor และทำให้หลอดเลือดแดงคลายตัว

หมายเหตุ : การใช้สมุนไพรในผู้ป่วยโรคเบาหวานและความดันนี้พึงระลึกว่าต้องมีการรักษาร่วมไปกับแผนปัจจุบันและมีการวัดระดับน้ำตาลและระดับความดันอย่างใกล้ชิด เนื่องจากการศึกษายังอยู่ในขั้นตอนของสัตว์ทดลองเท่านั้น รวมทั้งต้องระมัดระวังการเกิดการเสริมฤทธิ์กันของตัวยาดังกล่าว

รางจืด… ต้าน แก้อักเสบ
การที่หมอยาพื้นบ้านนิยมใช้รางจืดมารักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ เช่น ผด ผื่นคัน แมลงกัดต่อย เริม งูสวัด มีการศึกษาว่ารางจืดมีฤทธิ์ต้านการอับเสบสูงกว่ามังคุดประมาณ ๒ เท่า(ทดสอบด้วยวิธี Carrageenan induced paw edema) ในหนูถีบจักรและยังมีความปลอดภัยสูงกว่าอีกด้วย นอกจากนั้นยังพบว่า สารสกัดรางจืดในรูปแบบของครีมสามารถลดการอักเสบได้ดีเท่ากับสตีรอยด์ครีม

รางจืด… กับมะเร็ง
รางจืดยังมีฤทธิ์ในการต้านมะเร็ง โดยมีการศึกษาฤทธิ์ต้านการก่อกลายพันธุ์ กล่าวคือสารใดๆ มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์มีศักยภาพสูงสามารถก่อมะเร็งได้ แต่รางจืดมีฤทธิ์ต้านไม่ให้สารนั้นออกฤทธิ์ มีการศึกษาโดยให้หนูกินสารสกัดของกวาวเครือซึ่งกวาวเครือจะไปมีฤทธิ์กระตุ้นการแบ่งตัวและการสร้างนิวเคลียสของเม็ดเลือดแดง กล่าวคือนิวเคลียสของเม็ดเลือดแดงจะเป็นก้อน ใหญ่ขึ้น และมีการแบ่งตัว นั่นคือกวาวเครือไปทำให้การเกิด micronuclei ของเม็ดเลือดแดงเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ แต่ถ้าให้สัตว์ทดลองกินรางจืดร่วมด้วย พบว่าสามารถลดการเกิด micronuclei ได้ ซึ่งทั้งรางจืดแบบสดและแบบแห้งสามารถใช้ได้ผลเช่นกัน นับเป็นข้อดีอีกข้อหนึ่งของรางจืด

โดยพบว่าสารออกฤทธิ์อาจเป็นกรดฟีนอลิก ได้แก่ caffeic acid และ apigenin และสารกลุ่มคลอโรฟิลล์ ได้แก่ chlorophyll a, chlorophyll b, pheophorbide a และ pheophytin a ซึ่งสารเหล่านี้มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงมาก

รางจืด… ผักพื้นบ้านที่มีความปลอดภัย
รางจืดเป็นสมุนไพรที่มีความปลอดภัยสูงชนิดหนึ่ง ทั้งจากการที่ชาวบ้านกินยอดอ่อน ดอกอ่อนเป็นผัก ใช้ลวกกิน แกงกิน เช่นเดียวกับผักพื้นบ้านทั่วๆ ไป

นอกจากนี้ ยังนิยมกินน้ำหวานจากดอกรางจืดที่บานอีกด้วย ในส่วนของการศึกษาวิจัย มีการศึกษาทั้งพิษเฉียบพลันและพิษเรื้อรัง โดยการศึกษา ๒๘ วันก็ไม่พบหนูตาย ไม่เกิดความผิดปกติในอวัยวะภายใน ต่อมามีการศึกษาระยะ ๖ เดือน ที่เรียกว่าการศึกษาพิษเรื้อรัง พบว่ามีค่าที่เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในซีรั่มในเนื้อเยื่อของหนูไม่ได้แตกต่างจากกลุ่มควบคุม เรียกว่ามีความปลอดภัย ค่าที่พบเปลี่ยนแปลงบางค่าหรือบิลิลูบินเพิ่มขึ้นแต่ก็อยู่ในช่วงค่าปกติ

อย่างไรก็ตาม การกินรางจืดปริมาณมากต่อเนื่องกัน มีคำเตือนว่าต้องมีการศึกษาติดตามการเปลี่ยนแปลงโลหิตวิทยาหรือเคมีคลินิกที่อาจเกิดขึ้น

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : นิตยสารหมอชาวบ้าน

วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2555

อาหาร...เพิ่มพลังสมอง

“ สมอง ” เป็นอวัยวะที่มีโครงสร้างซับซ้อน ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของร่างกายในแทบทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหว ระบบประสาทสัมผัสต่างๆ เช่น การได้ยิน การมองเห็น การรับรู้กลิ่นและรส เป็นต้น นอกจากนี้สมองยังมีหน้าที่สำคัญในการควบคุมอารมณ์ ความรู้สึก การเรียนรู้ และความจำ สมองประกอบด้วยเซลล์ประสาท (neuron) จำนวนมากกว่าแสนล้านเซลล์ที่มีแขนงประสาท (neuronal processes) งอกออกมา ประสานกันเป็นร่างแหเพื่อใช้ในการติดต่อและส่งสัญญาณประสาท โดยมีอัตราความเร็วของการส่งสัญญาณตั้งแต่ 0.5-120 เมตร/วินาที เชื่อว่าเซลล์ประสาทจะมีจำนวนคงที่เมื่อแรกคลอด แต่การงอกของแขนงประสาทจะเพิ่มขึ้นได้หลังจากมีการกระตุ้นจากการเรียนรู้และได้รับสารอาหารที่เหมาะสม ทำให้สามารถส่งสัญญาณประสาทได้เร็วขึ้น และมีการติดต่อประสานงานที่ต่อเนื่องครอบคลุม สมองจึงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะเป็นปัจจัยที่บ่งบอกถึงความฉลาดและสติปัญญาได้

“ สารสื่อประสาท ” ปัจจัยที่ช่วยการทำงานของสมอง

เช่นเดียวกับอวัยวะอื่นๆ ของร่างกาย สมองต้องการสารอาหารเพื่อเป็นพลังงานและใช้ในการทำงาน การติดต่อกันระหว่างเซลล์สมองยังต้องการสารเคมีที่เรียกว่า สารสื่อประสาท (neurotransmitter) อย่างน้อย 3 ชนิด ที่จะทำให้การส่งข้อมูลของสมองเป็นไปอย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ สารสื่อประสาทเหล่านี้สร้างมาจากสารอาหารต่างๆ ที่รับประทาน โดยมีวิตามินและแร่ธาตุช่วยในกระบวนการ...ได้แก่

อะซิทิลโคลีน (Acetylcholine) ทำหน้าที่กระตุ้นเซลล์ประสาท ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ และมีบทบาทสำคัญเกี่ยวข้องกับการสร้างความจำด้วย โดยพบว่าผู้ป่วยที่เป็นโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ (Alzheimer's disease) จะมีอะซิทิลโคลีนในสมองน้อยกว่าคนปกติ อะซิทิลโคลีนมีมากในอาหาร จำพวกไข่แดง ถั่ว ข้าวไม่ขัดสี ตับ เนื้อสัตว์ต่างๆ ปลา นม เนยแข็ง และผักโดยเฉพาะ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บร็อคโคลี เป็นต้น

โดปามีน (Dopamine) เกี่ยวข้องกับสมาธิ ความสนใจ และการเรียนรู้ ในขณะเดียวกันก็มีผลต่อความรู้สึกตื่นตัว โดยจะเห็นได้จากผู้ที่เป็นโรคจิตเภท (schizophrenia) จะมีโดปามีนในสมองมากกว่าคนปกติ โดปามีนมีมากในอาหารที่เป็นแหล่งของโปรตีนทุกชนิด เช่น เนื้อสัตว์ต่างๆ ผลิตภัณฑ์จากนม ปลา ถั่วต่างๆ รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง การรับประทานอาหารที่มีโปรตีนประมาณ 60-80 กรัม จะช่วยให้ตื่นตัว และมีพลังได้

ซีโรโตนิน (Serotonin) ทำหน้าที่เกี่ยวกับการแสดงออกทางอารมณ์ ความรู้สึก และควบคุมวงจรการนอนหลับ โดยซีโรโตนินจะทำงานเฉพาะในบริเวณสมองส่วนกลาง (brain rewards system) เมื่อเกิดความรู้สึกพอใจ พบว่าผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้าจะมีระดับของซีโรโตนินในสมองบริเวณนี้น้อยกว่าปกติ สารอาหารคาร์โบไฮเดรตจำพวกแป้งและน้ำตาล เช่น ข้าว พาสต้า ผักประเภทหัว ธัญพืช และขนมปัง จะช่วยเพิ่มการดูดซึมทริปโตแฟน (tryptophan) ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นซีโรโตนินในสมอง โดยพบว่าภายใน 30 นาทีหลังรับประทานอาหารประเภทดังกล่าวจะทำให้รู้สึกผ่อนคลายและสงบได้นานหลายชั่วโมง

สมองและความจำดี ..... เริ่มต้นที่ “ อาหาร ”

สมองต้องการสารอาหารอย่างครบถ้วนเพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งรวมถึงการจดจำข้อมูลต่างๆ เด็กที่ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ นอกจากจะทำให้ร่างกายไม่เจริญเติบโตแล้ว ในระยะเริ่มแรกเด็กจะขาดสมาธิ และเลี้ยงยาก ต่อมาในระยะยาวจะทำให้พัฒนาการทางด้านสติปัญญาช้ากว่าเด็กปกติ หรืออาจปัญญาอ่อนได้ ขึ้นกับความรุนแรงของการขาดสารอาหาร สมองต้องการอาหารดังนี้...

เนื้อสัตว์ เป็นแหล่งของโปรตีนที่เป็นโครงสร้างของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย รวมทั้งสมอง นอกจากนี้ยังใช้ในการสร้างสารสื่อประสาทที่ช่วยในการทำงานของสมอง มีกรดอะมิโน 2 ชนิดในเนื้อสัตว์ที่มีผลต่อการสร้างสารสื่อประสาท คือ ทริปโตแฟน ( tryptophan) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่จำเป็น เนื่องจากร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้เอง จำเป็นต้องได้รับจากอาหาร เพื่อนำไปสร้างสารสื่อประสาทซีโรโตนิน และไทโรซีน (tyrosine) ที่ร่างกายสามารถผลิตขึ้นมาเองได้ โดยจะนำไปใช้ในการสร้างสารสื่อประสาทโดปามีน

อาหารที่มีปริมาณโปรตีนสูง มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ และมีไทโรซีนสูง เช่น อาหารทะเล ถั่วเหลือง เนื้อสัตว์ต่างๆ ไข่ และนม จะช่วยให้สมองมีพลัง กระฉับกระเฉง ตื่นตัว จึงเหมาะสำหรับเป็นอาหารในช่วงเช้า และกลางวัน ส่วนอาหารที่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตสูง มีโปรตีนต่ำ และมีทริปโตแฟนสูง เช่น ข้าว ถั่วเล็ดแห้งต่าง ๆ งา และขนมหวาน จะช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายและอารมณ์ดี จึงเหมาะสำหรับเป็นอาหารในมื้อเย็น ที่ร่างกายต้องการพักผ่อนนอนหลับอย่างสุขสงบ

แป้งและน้ำตาล เมื่อถูกย่อยจะได้กลูโคสที่เป็นแหล่งพลังงานสำคัญของสมอง จึงควรพยายามรักษาระดับน้ำตาลในร่างกายให้คงที่ เพราะหากมีการเปลี่ยนแปลงมากเกินไปจะมีผลต่อการทำงานของสมอง ทำให้ระดับของสารสื่อประสาทไม่สมดุล ซึ่งจะทำให้เกิดอาการมึนหัว ง่วงนอน สับสน และอาจถึงกับเป็นลม ชัก หมดสติได้ แหล่งของแป้งและน้ำตาลควรมาจากข้าว ธัญพืชชนิดต่างๆ

ผักและผลไม้ ที่มีกากใยมากกว่าขนมหวานเพราะมีส่วนประกอบของน้ำตาลสูง เนื่องจากใยอาหารจะช่วยในการดูดซึมน้ำตาล ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่เพิ่มสูงเร็วเกินไป สำหรับอาหารที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบมาก หลังจากรับประทานจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่างกายจะหลั่งอินซูลินออกมามากเพื่อรักษาระดับน้ำตาล และอาจทำให้ระดับน้ำตาลในร่างกายลดลงอย่างรวดเร็ว จนมีผลกับการทำงานของสมองได้

ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกอยู่ในวัยเรียน จึงไม่ควรให้ลูกรับประทานขนมหวานมากเกินไป เพราะจะมีผลต่อสมาธิในการเรียน ความจำ และการทำงานของสมอง โดยเฉพาะในเด็กเล็กจะงอแงและเลี้ยงยาก

ไขมัน ส่วนประกอบของสมองมากกว่าร้อยละ 60 เป็นไขมันที่หุ้มเส้นใยประสาท ทำให้เพิ่มความเร็วในการขนส่งกระแสประสาทในสมอง และช่วยเพิ่มความจำด้วย กรดไขมันโอเมก้า- 3 ที่ประกอบด้วย EPA (eicosapentaenoic acid) และ DHA (docosahexaenoic acid) มีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง โดยพบว่าผู้ที่ได้รับกรดไขมันโอเมก้า- 3 ไม่เพียงพอจะทำให้มีอาการซึมเศร้า ความจำและความสามารถในการเรียนรู้ลดลง IQ ต่ำ และอาจมีอาการทางจิตอื่นๆ ในทารกและเด็กที่กำลังเจริญเติบโตจะทำให้สมองมีพัฒนาการที่ไม่สมบูรณ์ โดยมีขนาดเล็ก และมีผลต่อการมองเห็น กรดไขมันโอเมก้า- 3 มีมากในปลาทะเลทุกชนิด เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาซาร์ดีน และปลาแมคเคอเรล เป็นต้น

ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีองค์ประกอบของไขมันที่ผ่านกระบวนการมาแล้ว (hydrogenated) เนื่องจากไขมันดังกล่าวได้มีการปรับโครงสร้าง เมื่อเข้าสู่สมองจะมีผลกระทบต่อการทำงาน และการส่งกระแสประสาทของเซลล์สมอง นอกจากนี้ไขมันที่ผ่านกระบวนการนี้ยังมีลักษณะเป็นไขมันอิ่มตัว ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเกาะและอุดตันเส้นเลือดได้ โดยหากไปอุดตันเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองจะทำให้สมองบริเวณนั้นตาย และเป็นอันตรายถึงชีวิต

ผักและผลไม้ อุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่ที่จำเป็นต่อการทำงานของสมอง โดยวิตามินบี ชนิดต่างๆ จะช่วยในกระบวนการสร้างพลังงาน วิตามินเอ ซี และอี จะมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและช่วยเพิ่มภูมิต้านทานของสมองต่อสารต่างๆ ที่เป็นมลพิษ โซเดียม โปแทสเซียม และแคลเซียมช่วยในการส่งสัญญาณประสาทและกระบวนการเก็บความจำ เหล็กมีผลต่อสมาธิและการเรียนรู้ พบว่าเด็กที่ได้รับธาตุเหล็กอย่างเพียงพอจะมีผลการเรียนที่ดี และสนใจอยู่กับบทเรียนได้นานขึ้น

อาหารกับโรคสมองเสื่อม (Alzheimer's disease)

ถึงแม้ว่าโรคสมองเสื่อมจะยังไม่สามารถรักษาให้หายได้ในปัจจุบัน แต่สามารถป้องกันหรือชะลอสภาวะการทำงานของสมองไม่ให้เสื่อมลงไปกว่าเดิมได้ โดยวิธีที่สามารถทำได้ง่ายๆ คือ การหลีกเลี่ยงจากมลพิษ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสมอง มีงานวิจัยมากมายพบว่าโรคสมองเสื่อมสามารถป้องกันได้ด้วยอาหารหลายชนิด เช่น ผักและผลไม้ที่มีวิตามินอี วิตามินซี ซึ่งมีอยู่มากในผักและผลไม้จำพวกมะเขือเทศ แครอท และ ผักขม ด้วยคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในอาหารเหล่านี้ ทำให้ช่วยป้องกันเซลล์สมองจากการถูกทำลายด้วยสารอนุมูลอิสระ (free radicals) นอกจากนี้แล้ว DHA ที่มีในไขมันจากปลาทะเล ก็ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับโครงสร้างของเซลล์สมองได้
     
                   
 ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล : นิตยสาร - HealthToday

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

อาหารขยะ Junk Food

วันนี้สังคมไทยเปลี่ยนไปมาก เต็มไปด้วยการแข่งขัน เร่งรีบประกอบกับการโฆษณา ยุคโลกาภิวัฒน์ในสหัสวรรษใหม่ ข้อมูลข่าวสารไหลมาตามช่องทางต่างๆ ถึงตัวผู้บริโภคได้รวดเร็ว จนบางครั้ง ไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำไป ที่สำคัญ เชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด ไม่มีใครพิสูจน์จนกว่าจะได้ลองเอง

วิถีชีวิตและพฤติกรรม ที่เปลี่ยนไปของคนเมือง ทำให้ต้องฝากปากท้อง กับอาหารสำเร็จรูป และอาหารจานด่วน ซึ่งส่วนมาก จะมาในรูปอาหารตะวันตก ประเภทสะดวก เร็ว อิ่ม (แต่แพง) เพราะซื้อหาได้ทั่วไป ถูกปากคนรุ่นใหม่ ใส่บรรจุภัณฑ์เก๋ไก๋ พกพาไปได้ทั่ว รับประทานได้ทุกที่

คำว่า Junk Food เป็นศัพท์แสลงของ อาหารที่มีสารอาหารจำกัด หรือที่เรียกกันว่า อาหารขยะ อาหารไร้ประโยชน์ อาหารที่นักโภชนาการ ไม่เคยแนะนำ อะไรทำนองนี้ แต่ขึ้นชื่อว่า Junk Food จะต้องประกอบด้วยสารอาหาร ที่ให้พลังงานเป็นส่วนใหญ่ เช่น น้ำตาล ไขมัน แป้ง และมีส่วนประกอบโปรตีน วิตามิน เกลือแร่ น้อยมาก ตัวอย่างเช่น ขนมขบเคี้ยวรสเค็ม รสหวาน ลูกอม หมากฝรั่ง ขนมหวานทุกชนิด อาหารทอด อาหารจานด่วนบางชนิด และน้ำอัดลม หรือมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Empty Calorie มีความหมายว่า ไม่มีอะไรที่เป็นประโยชน์เลย เทียบกับอาหารไทย โดยพื้นฐานแล้ว ในหนึ่งจานให้คุณค่าหลากหลาย ไขมันต่ำกว่า อุดมด้วยสมุนไพร ที่เป็นคุณต่อสุขภาพ แต่ด้วยความเร่งรัดของวิถีชีวิต ทำให้คนไม่มีเวลาเลือกหา และไม่ยอมเสียเวลา ปรุงอาหารรับประทานเอง อย่างน้อยหนึ่งมื้อ ในหนึ่งวันของใครหลายคน จึงเลือก Junk Food เป็นทางออก ขณะเดียวกัน ก็ยอมเสียสตางค์แพงๆ เลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร มาเติมเต็มทดแทน ส่วนที่ขาดหายไป …ถ้าคนไทยไม่รู้จักแฮมเบอร์เกอร์ เฟรนซ์ฟราย พิซซ่า แต่ยังคงกินน้ำพริกปลาทู ข้าวกล้อง ส้มตำ ข้าวเหนียว ไก่ย่าง แกงส้ม… โรคไขมันในเลือดสูง โรคอ้วน เบาหวาน และอื่นๆ อีกมากมาย ก็ไม่น่าจะเจอในคนอายุน้อยๆ เหมือนที่พบมากในปัจจุบัน ที่สำคัญ เงินทองไม่รั่วไหล ออกนอกประเทศ จำนวนมหาศาลต่อปี

Junk Food ส่วนใหญ่ จะให้พลังงานที่ได้มาจาก ส่วนประกอบ 3 อันดับแรกคือ น้ำตาล ไขมัน และแป้ง ดังนั้น ต้องพิจารณาให้ดี อาหารสำเร็จรูปบางชนิด จะมีฉลากโภชนาการแจ้งให้ทราบ

อาหาร Junk Food ยอดนิยม ยังขาดสารอาหาร ที่มีความจำเป็นต่อการทำงาน ของร่างกายอยู่หลายชนิด และในทางตรงกันข้าม ก็มีพลังงานหรือสารอาหารบางตัว ที่ยังไม่สมดุลกับความต้องการ การดูแลสุขภาพร่างกาย ให้พร้อมสำหรับชีวิตประจำวัน เพื่อให้ร่างกายมีความสมบูรณ์ และแข็งแรงในรูปแบบง่ายๆ ซึ่งเราๆ ท่านๆ ท่องจำขึ้นใจ เป็นเสียงเดียวกันว่า หนึ่ง ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สอง รับประทานอาหาร ให้ถูกหลักโภชนาการ และสาม พักผ่อนให้เพียงพอ แต่ถามว่ามีสักกี่คนที่ปฏิบัติทั้ง 3 ข้อนี้ได้อย่างแท้จริง



 ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล : คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร - www.pharm.su.ac.th

วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

อาหารกับอารมณ์

คุณเป็นคนหนึ่งหรือไม่ ที่รู้สึกว่าหลังตื่นนอนตอนเช้า อารมณ์ไม่แจ่มใสอย่างที่ควรเป็น (ไม่นับอาการเบื่อเรียนหรือเบื่องาน) ทั้งๆ ที่นอนหลับเต็มอิ่ม ไม่เครียดหรือมีเรื่องทุกข์ร้อนใจ บางครั้งรับประทานอาหารเช้าแล้วกลับทำให้ยิ่งหิวเร็ว หนำซ้ำช่วงสายก่อนเที่ยงมีอาการมือสั่น อ่อนเพลีย หรือบ่ายๆ หลังรับประทานอาหารกลางวัน ยิ่งอ่อนเพลีย ง่วงนอน เฉื่อยชายิ่งกว่าเดิม อาการแบบนี้มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการรับประทานอาหาร ซึ่งอาหารกับอารมณ์นั้น เกี่ยวข้องกันชนิดที่คุณคาดไม่ถึงทีเดียว

แหล่งต้นเหตุของอาหารที่มีผลต่ออารมณ์

ในต่างประเทศมีงานวิจัยและบทความทางวิชาการศึกษา เกี่ยวกับบทบาทสารอาหารกับอารมณ์อยู่มากมายหลายชิ้น แต่บทความที่ได้รับรองอย่างเป็นทางการยังมีเพียงเล็กน้อย แต่ที่แน่ๆ ปัจจัยในร่างกายที่มีผลต่ออารมณ์ มาจาก 2 แหล่ง คือ อาหารและสารเคมีในสมอง

เริ่มจากอาหาร ที่ปกติเรารับประทาน 3 มื้อต่อวัน แต่ละมื้อประกอบด้วยอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต คือ แป้งและน้ำตาลเป็นหลัก เนื่องจากเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของร่างกาย หลังจากรับประทานแล้ว ร่างกายจะค่อยๆ ย่อย เปลี่ยนให้เป็นคาร์โบไฮเดรตที่เล็กลง และกลายเป็นน้ำตาลกลูโคส เพื่อร่างกายสามารถดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด และนำไปใช้ตามอวัยวะต่างๆ ทั้งนี้ปริมาณและชนิดของคาร์โบไฮเดรตที่ต่างกัน ย่อมส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงต่างกัน เช่นเดียวกับระดับน้ำตาลกลูโคสที่ได้จากอาหารแต่ละชนิด หรือที่เราเรียกว่า “ดัชนีน้ำตาล” ค่าดัชนีน้ำตาลแบ่งเป็น 3 ระดับ คืออาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลปานกลาง และอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง

การรับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูงมากเท่าไร

คาร์โบไฮเดรตก็จะย่อยเป็นกลูโคส และถูกดูดซึมอย่างรวดเร็ว กระตุ้นให้มีการหลั่งฮอร์โมนอินซูลิน ที่นำกลูโคสเข้าสู่เซลล์ต่างๆ เพื่อ
เผาผลาญเป็นพลังงาน แต่หลังจากรับประทานไปได้ 2-4 ชั่วโมง ระดับน้ำตาลในเลือดจะลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ร่างกาย
อ่อนแรง อารมณ์เซื่องซึม ตัวอย่างอาหารดัชนีน้ำตาลสูง ได้แก่ ไอศกรีม ข้าวขาว ข้าวเหนียว มันฝรั่งบด ฯลฯ นอกจากนี้ระดับน้ำตาลในเลือดอาจแปรปรวน ลดและเพิ่มอย่างรวดเร็วจากกรณีอื่นๆ อีก เช่น
     
    รับประทานอาหารที่มีไขมันสูง อาหารประเภททอด ขนมขบเคี้ยวต่างๆ น้ำอัดลม เป็นต้น เพราะหลังจากรับประทานร่างกายจะรู้สึกหนัก อ่อนเพลียและง่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังอาหารเช้าและอาหารกลางวัน ที่คนทำงานหลายคนมีอาการตาหนัก ลืมไม่ขึ้นเป็นประจำ
     
    เว้นระยะเวลาการรับประทานอาหารระหว่างมื้อนานเกินไป หรือออกกำลังกายติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้เกิดสัญญาณเตือน เช่น อาการปวดหัวหรือเหนื่อยล้า มือสั่น เหงื่อแตก
     
    ไม่รับประทานอาหารเช้า หรือใช้วิธีลดความอ้วนด้วยการงดอาหารบางมื้อ ซึ่งเป็นวิธีที่ผิด เพราะจะยิ่งทำให้ร่างกายต้องการพลังงานชดเชยมากขึ้นจากมื้อที่หายไป ส่งผลให้มื้อต่อๆ ไปรับประทานมากเกินได้ง่าย ส่วนปัจจัยที่มีผลต่ออารมณ์

ส่วนหนึ่งมาจากสารเคมีในสมอง ยกตัวอย่างเช่น
     
    เซอร์โรโทนิน (serotonin) ถ้าระดับเซอร์โรโทนินต่ำจะทำให้เกิดอาการซึมเศร้าได้ และมีการศึกษาพบว่า หากได้รับอาหารที่ไม่มีกรดอะมิโนทริบโทเฟน (Tryptophan) โดยอาหารที่มีทริบโทเฟน เช่น นม กล้วย โยเกิร์ต ข้าวโอ๊ต ซึ่งเป็นสารเริ่มต้นในการสังเคราะห์ เซอร์โรโทนินในสมอง จะทำให้การสร้างเซอร์โรโทนินลดลง ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ในบางคน แต่ก็ไม่ใช่ทุกคน การรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง เช่น ข้าวเหนียว ข้าวโพด กรอย เผือกหรือมัน จะเพิ่มการสร้างเซอร์โรโทนินทำให้อารมณ์ดีขึ้น ซึ่งจะพบว่าคนบางคนเมื่อมีอาการซึมเศร้า จะอยากรับประทานอาหารคาร์โบไฮเดรตมากขึ้น (เศร้าแล้วก็เลยอ้วน)
     
    การขาดกรดโฟลิก จากการศึกษาในหนูทดลอง เมื่อขาดกรดโฟลิก ทำให้ระดับเซอร์โรโทนินในสมองลดลง ซึ่งคาดว่าถ้ามนุษย์ขาดสารโฟลิกก็จะมีอารมณ์ซึมเศร้า ไม่กระตือรือร้น อาหารที่มีกรดโฟลิก ได้แก่ บร็อกโคลี ถั่วลิสง ข้าวซ้อมมือ
     
    การขาดไทอะมิน (วิตามินบี1) ทำให้ซึมเศร้า อ่อนเพลีย เนื่องจากวิตามินบี1 มีบทบาท สำคัญในการเผาผลาญกลูโคสให้เป็นพลังงาน และสมองจำเป็นต้องใช้พลังงานจากกลูโคส ถ้าขาดวิตามินบี1 ก็จะมีผลเหมือนการขาดคาร์โบไฮเดรต อาหารที่มีไทอะมิน ได้แก่ ปลา เนื้อสัตว์ปีก
     
    การขาดไนอะซิน ซึ่งเป็นวิตามินบีชนิดหนึ่ง ก็มีผลต่ออารมณ์เช่นกัน คนที่ขาดวิตามินไนอะซินจะหงุดหงิด อารมณ์เสีย ถ้าขาดมากๆ ก็อาจจะถึงขั้นความจำเสื่อม ไนอะซินเป็นวิตามินที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญกลูโคสเช่นกัน การขาดไนอะซินนี้จะพบมากในกลุ่มคนที่รับประทานข้าวโพดเป็นอาหารหลัก ซึ่งในประเทศไทย ยังไม่พบการขาดวิตามินชนิดนี้ อาหารที่มีไนอะซิน ได้แก่ ไข่ เนื้อสัตว์ปีก ปลา ไทอะมินธัญพืชที่ไม่ขัดสี นม

รับประทานอาหารอย่างไรจึงทำให้อารมณ์ดีขึ้น

การปรับเปลี่ยนประเภทของอาหารเพียงเล็กน้อยก็สามารถส่งผลให้อารมณ์ดีขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพียงแค่คุณ...
     
    รับประทานอาหารให้ครบมื้อ ถ้าไม่มีเวลารับประทานอาหารเป็นมื้อแบบกิจลักษณะ ควรเลือกของว่างเล็กๆ น้อยๆ เช่น ขนมปังโฮลวีทสักแผ่นหรือ ขนมปังกรอบธัญพืชสัก 2-3 แผ่น อย่าปล่อยให้ท้องว่างเด็ดขาด หรือว่าจะแบ่งมื้ออาหารออกเป็นมื้อเล็กๆ แต่รับประทานบ่อยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำตาลในเลือดตก
     
    รับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ เช่น ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท ผักและผลไม้ที่มีเส้นใยมาก และมีรสไม่หวาน เป็นต้น เพราะร่างกายจะค่อยๆ ย่อยและดูดซึมช้าๆ ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ สม่ำเสมอ และหลังรับประทานอาหารได้ 4-6 ชั่วโมง ร่างกายจะหลั่งสารฮอร์โมนบางชนิดเพื่อสลายไกลโคเจน ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตที่สะสมอยู่ในร่างกาย และเพิ่มการสร้างกลูโคสจากแหล่งอาหารอื่น เช่น ไขมัน
     
    งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คาเฟอีน หันมาดื่มน้ำผลไม้คั้นสดหรือน้ำเปล่าธรรมดาแทน
     
    หมั่นออกกำลังกาย เนื่องจากหลังออกกำลังกายต่อเนื่องสัก 20 นาที ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนแอนโดรฟีนออกมาตามธรรมชาติ ทำให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้ปกระเปร่าและมีความสุข ลดความกังวลและเครียดลงได้

สรุปแล้วความสัมพันธ์ระหว่างอาหารและอารมณ์นี้ ยังมีความซับซ้อนอยู่มาก จำเป็นต้องมีการศึกษาเพื่อหาข้อสรุปต่อไป แต่ปราการป้องกันขั้นพื้นฐานไม่ให้อารมณ์หม่นหมอง ง่วงซึม ทุกครั้งที่เกี่ยวข้องกับการรับประทานอาหาร ก็ควรรับประทานอาหารอย่างเหมาะสม ครบมื้อพอเพียงกับความต้องการของร่างกาย รับประทานอาหารหลากหลายให้ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงและมีค่าดัชนีน้ำตาลสูง ประกอบกับการออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับรองว่าอาการเซื่องซึม ง่วงนอน อ่อนเพลียจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด



รศ.ดร.อรอนงค์ กังสดาลอำไพ
     
                   
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล : นิตยสาร HealthToday

วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555

อาหารกำหนดชะตาชีวิต

อาหารนี่แหละเป็นตัวกำหนดชะตาชีวิต หลักการง่ายๆ ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ รับประทานผักผลไม้ให้มากๆ หลายคนต่างรู้ดี แต่กลับบริโภคตามใจปาก ถ้าไม่ป่วยก็ไม่รู้ซึ้ง ดังนั้น มารู้จักการบริโภคอาหาร เพื่อป้องกันการเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้ากินน้อยจะตายยาก กินมากจะตายง่าย คุณจะเลือกแบบไหน

ชีวิตของคุณ ถูกกำหนดโดยอาหารที่คุณกิน ถังขยะหน้าบ้านบอกได้ว่า คุณทิ้งอะไรลงไป กินอะไรเข้าไป ชีวิตคุณจะเป็นอย่างไรต่อไป เราเอง คนที่ประสบปัญหาการรับประทานอาหารดีเกินไป แพงเกินไป มากเกินไป สุดท้ายผลลัพธ์ที่ได้ ก็คือ น้ำหนักตัวที่เกินมา โรคภัยไข้เจ็บที่ไม่ต้องการ ทุกอย่างน่าจะแก้ไขได้ทัน หากวันนี้ เราหันมาใส่ใจสุขภาพ เพราะอาหารนั้น สามารถกำหนดชะตาชีวิตของเราได้ อย่างน้อย ถ้าอยากมีสุขภาพกาย-ใจ ดี ผิวพรรณผ่องใสจากข้างใน เลือดลมเดินดี ไม่มีโรค โดยไม่ต้องอาศัยครีมหน้าเด้ง หรือยาลดความอ้วน หรือทำมาหาเลี้ยงหมอทุกเดือน ขั้นแรกต้องเป็นหมอดูแลเรื่อง อาหารการกินของตัวเราเองก่อน

1. ลองเช็คตัวเองซิว่า ตอนนี้สุขภาพเป็นอย่างไร

ถ้าเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นในตอนเช้า เราลุกจากเตียงเหมือนติดสปริงหรือเปล่า? ลุกขึ้นมาพร้อมกับความสดชื่นมีชีวิีตชีวาหรือไม่ ถ้าเสียงนาฬิกาปลุกดัง เรายังไม่ลืมตา เอามือไปกดแล้วนอนต่อ เพราะลุกไม่ไหว จนนาฬิกาปลุกตัวที่สองดังขึ้น นั่นเป็นสัญญาณแล้วว่า ต้องกลับมาดูแลตัวเอง เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการดำรงชีวิตเสียใหม่ เริ่มต้นจากการกิน

จำไว้ว่า ถ้าเรากินน้อย จะตายยาก กินมากตายง่าย และอาหารที่เรากินทุกวันนี้ อาหารที่เสียหรือบูดเน่าง่าย กินแล้วตายยาก อาหารที่บูดเน่ายากๆ ใส่สารกันบูด กินแล้วตายง่าย

คนจีนโบราณเขาบอกว่า ตอนเช้าให้กินอย่างราชา กลางวันกินอย่างคนธรรมดา ตอนเย็นให้กินอย่างยาจก เพราะใกล้จะนอนแล้ว เป็นหลักดำรงชีวิตเพื่อสุขภาพ แต่คนเราใสปัจจุบันปฏิบัติกลับกัน ตอนเช้าไม่กินเลย กาแฟถ้วยเดียวแล้วรีบออกจากบ้าน พักกลางวัน 1 ชั่วโมงต้งรีบกิน มื้อเย็นไว้นัดเพื่อนฝูง กินมื้อใหญ่ เพราะเก็บกดมาทั้งวัน แล้วกลับบ้านไปนอนอืด ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมจึงมีสถาบันเสริมความงามลดน้ำหนัก ฟิตเนส ฯลฯ เกิดขึ้นมากมายราวกับดอกเห็ด

2. เริ่มต้นจากการทำใจ

ไม่จำเป็นต้องไปถือศีลกินเจ เคร่งจนวันหนึ่งตบะแตก เพียงแค่เริ่มต้นจากการค่อยๆ ลดสัตว์ใหญ่ ที่เราโปรดปราณ เช่น เนื้อวัว-ควาย ถ้าทำได้แล้ว ก็ลดเนื้อไก่-เป็ด ลดเนื้อปลาลงไปตามลำดับ หากทำใจไม่ได้ ก็อนุญาตให้หม่ำปลาต่อไป ตามด้วยผักผลไม้มากๆ เริ่มจากกินสัตว์ที่ตัวเล็กลงไปเรื่อยๆ ขอให้คิดว่า กินหมูดีกว่ากินวัว กินไก่ดีกว่ากินหมู กินปลาดีกว่ากินไก่ ทำได้ดังนี้ สุขภาพเรา ก็จะดีขึ้นไปเรื่อยๆ

3. คลอโรฟิลล์ในร่างกายมนุษย์

ผักผลไม้สังเคราะห์แสงจากดวงอาทิตย์ สีเขียวคือคลอโรฟิลล์ มนุษย์เองก็มีคลอโรฟิลล์ หากร่างกายสมบูรณ์สะอาดจากข้างใน หากมีสิ่งแปลกปลอม สารพิษต่างๆ ในร่างกายจะเกิดปฏิกิริยาต่อต้าน และขับออกมาโดยอัตโนมัติ ไม่มีการเก็บสะสม

แล้วทำอย่างไรให้ร่างกายของเรามีคลอโรฟิลล์

ถ้าเราไม่กินสีเขียวๆ ของพืชผักผลไม้เลย ชีวิตคุณสั้นแน่ เพราะในนั้นมีคลอโรฟิลล์ มีคุณสมบัติในการฟอกเลือด สังเกตเลือดของคนที่ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ สีของเลือดจะสวย ใส ไม้ข้น เหมือนคนที่กินเนื้อสัตว์ เพราะเลือดมีสภาวะเป็นด่าง พืชผักผลไม้มีสารอาหาร ที่มีสภาวะเป็นด่าง แต่เนื้อสัตว์กับเลือดของสัตว์เป็นกรด ถ้ากินมาก เลือดเราจะไม่สมบูรณ์ หากเลือดข้นก็จะวิ่งตามเส้นเลือดไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ไม่สะดวก เป็นบ่อเกิดของโรคต่างๆ ได้

การวัดค่าของเลือด เรียกว่า คาโลทีนอย ว่าสูงสุด 20,000 - 49,000 มาตรฐานคนทั่วไปอยู่ที่ 20,000 - 40,000 คาโลทีนอยมาก มะเร็งจะไม่มีวันถามหา เพราะมีสารอาหารที่สามารถต่อต้านอนุมูลอิสระ การที่เรากินผักและผลไม้มากเท่าไหร่ เราก็จะมีคาโลทีนอยมากขึ้นเท่านั้น ผักผลไม้จะมีสีสันต่างๆ มากมาย อย่างสีส้มในแครอท สีส้มในมะละกอ สีเหลืองในมะม่วงสุก พวกนี้จะมีเบต้าแคโรทีน สารสีเหล่านี้จะมีแอนตี้ออกซิแดนซ์ ถั่ว 5 สี จะทำให้อวัยวะหลักในร่างกาย เขาเรียกว่าเบญจธาตุมีความสมบูรณ์มากขึ้น ชีวิตจริง เราอาจจะกินถั่วไม่ครบ 5 สี แต่เรากินพืช ผัก ผลไม้ ครบ 5 สี แทนก็ได้เหมือนกัน

ถ้าจะเปรียบร่างกายเป็นประเทศชาติ ควรรับประทานข้าวกล้อง เพราะข้าวกล้องเป็น ราชาแห่งข้าว มีจมูกข้าวอุดมไปด้วยวิตามิน กล้วยน้ำว้า เป็นราชินี มีความหวานเป็นแป้งบริสุทธิ์ งาดำ-งาขาว เป็นขุนพล และดื่ม น้ำเต้าหู้ อย่างน้อยวันละแก้ว เพื่อล้างพิษต่างๆ ในร่างกาย ดื่มน้ำบริสุทธิ์มากๆ ตั้งแต่ตื่นนอน

4. ผัก 5 ชนิด ถั่ว 5 สี

ถั่ว 5 สี ช่วยบำรุงร่างกาย เช่น ถั่วแดง บำรุงหัวใจ รวมทั้งแตงโม, บีทรูต ฯลฯ จะช่วยบำรุงเลือด การไหลเ่ีวียนของโลหิต ถั่วดำ รวมไปถึง งาดำ ฯลฯ จะบำรุงเส้นผม ผิวหนัง ชุ่มชื้น มันวาว ผมดกดำมัน ผมร่วง เชื้อราบนหนังศีรษะ รากผมแข็งแรง ผิวพรรณไม่แห้งกร้าน ถั่วซีด หรือ ถั่วขาว เช่น ถั่วลิสง, ลูกเดือย, แมกคาเดเมีย บำรุงกระดูก ให้แคลเซียม บำรุงกระดูกข้อมือ บำรุงฟัน ถั่วเหลือง ให้โปรตีน ถั่วเขียว บำรุงอวัยวะภายในร่างกาย

ถั่ว 5 สีนี้ รวมทั้งผัก 5 สี ควรจะรับประทานให้ครบถ้วน มนุษย์รับประทานครบ ก็จะมีคลอโรฟิลล์อยู่ในร่างกาย และนมถั่วเหลือง มีประโยชน์ต่อร่างกาย นักวิทยาศาสตร์จีนเปิดเผยว่า ดื่มน้ำเต้าหู้สดๆ ที่ทำใหม่ๆ วันละ 1 แก้ว สามารถช่วยฟอกพิษในร่างกายได้ แต่ต้องไม่ใช่น้ำเต้าหู้พาสเจอร์ไรซ์ที่ใส่สารกันบูด ที่มีขายเป็นกล่องๆ โดยทั่วไป

อยากอายุยืน ผิวพรรณสดใส อ่อนวัยไปนานๆ คงต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการรับประทาน และสิ่งสำคัญคือ การออกกำลังกาย ตามแบบที่เราถนัด ไม่ว่าจะเป็นวิ่งเหยาะๆ เล่นโยคะ ว่ายน้ำ หรือแม้แต่การทำงานบ้านเพื่อให้เหงื่อออก โลหิตไหลเวียนสะดวก เพื่อขับของเสียออกจากร่างกาย แค่นี้ก็ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ที่ไม่จำเป็นในชีวิตอีกหลายอย่าง
     
                   
 ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ

วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2555

อาหารเพื่อสุขภาพกระเพาะอาหาร

หากไม่อยากทุกข์ทรมาน จากการป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหาร ก็ต้องแก้ที่การรับประทานอาหารเช่นกัน ซึ่งอาหารที่เหมาะอย่างยิ่ง สำหรับป้องกันโรคกระเพาะมีดังต่อไปนี้

คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน แหล่งอุดมของเส้นใย

คือคาร์โบไฮเดรตที่เกิดขึ้นเองจากการสะสมตามธรรมชาติ โดยผ่านกระบวนการแปรรูปน้อยที่สุด หรือไม่ผ่านกระบวนการแปรรูปใดเลย

คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน หรือคาร์โบไฮเดรตที่ไม่ผ่านการแปรรูปนี้ อุดมไปด้วยเส้นใย ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อระบบย่อยอาหาร เพราะอาหารที่มีเส้นใยสูง ใช้เวลาในการย่อยในกระเพาะอาหารน้อยมาก (หากปรุงให้สุกและกินให้พอดี ถั่วและพืชชนิดต่างๆ จะใช้เวลาในการย่อยประมาณ 80-90 นาทีเท่านั้น) เมื่อเทียบกับอาหารประเภทอื่นๆ

ยิ่งกินอาหารที่เป็นกากใยในแต่ละวันมากขึ้น อาหารก็จะถูกย่อยเร็วมากขึ้นเท่านั้น เพราะเส้นใยที่รับประทานเข้าไป จะช่วยดูดซับน้ำเอาไว้ และกระตุ้นให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น ทั้งยังช่วยในการดูดซึมของผนังกระเพาะอาหาร รักษาแผลในกระเพาะอาหารให้หายเร็วขึ้น ช่วยเพิ่มกากใยในกระเพาะอาหารและลำไส้ใหญ่ จึงทำให้การขับถ่ายดีขึ้น และนอกจากนั้น การรับประทานอาหารที่มีเส้นใยมาก ยังทำให้เรารู้สึกอิ่มนาน ไม่หิวบ่อย และไม่ต้องกินจุบจิบตลอดเวลา ซึ่งทำให้กระเพาะอาหารได้พักการทำงาน

คารโบไฮเดรตเชิงซ้อน พบในข้าวกล้องทุกชนิด ข้าวสาลีแบบโฮลวีทหรือข้าวสาลีไม่ขัดขาว ข้าวไรย์ ข้าวโพด ข้าวบาร์เล ข้าวเจ้า ถั่วฝักอ่อน ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เมล็ดพืชชนิดต่างๆ เช่น ทานตะวัน เมล็ดฟักทอง งา และผักใบเขียว ซึ่งทั้งหมดนี้ สามารถกินเป็นอาหารหลักได้ และช่วยบำรุงกระเพาะอาหารของเราไปในคราวเดียวกัน

ไขมันไม่อิ่มตัว เพิ่มประสิทธิภาพกระเพาะอาหาร

ไขมันที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับคือ ไขมันไม่อิ่มตัว เพราะร่างกายของเราไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นมาเองได้ มักจะพบในธัญพืชต่างๆ เช่น ข้าวต่างๆ ถั่วฝักอ่อน เมล็ดพืช ถั่วเปลือกแข็งและน้ำมัน เช่น น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันถั่วเหลือง เป็นต้น ซึ่งไขมันไม่อิ่มตัวที่ผลิตได้จากพืชเหล่านี้ มีความสำคัญต่อกระเพาะอาหารของ เราโดยตรง กล่าวคือ ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบเผาผลาญในร่างกาย ซึ่งรวมถึงระบบการเผาผลาญอาหารในกระเพาะอาหารด้วย ให้มีประสิทธิมากขึ้น

อย่างไรก็ตามการกินอาหารทอดมากๆ เช่น มันฝรั่งทอด หอมทอด ปลาทอด ขนมโดนัท ถือว่าเป็นการทำร้ายกระเพาะของเราเช่นกัน เพราะอาหารเหล่านี้ หากนำไปทอดในน้ำมันความร้อนสูง จะมีการเปลี่ยนโครงสร้างทางเคมี ทำให้เกิดกรดไขมันอิสระ ซึ่งฤทธิ์ระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารและเยื่อบุลำไส้ได้

โปรตีนจากปลา ช่วยในการดูดซึม

โปรตีนคุณภาพดีและมีประโยชน์ต่อกระเพาะอาหาร คือ โปรตีนจากปลาครับ เพราะปลาเป็นโปรตีนที่ย่อยง่ายมาก เมื่อเทียบกับโปรตีนชนิดอื่น ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ผนังกระเพาะอาหารดูดซึมได้เร็วขึ้น แล้วในปลายังมีกรดอะมิโน ที่จำเป็นที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น

ส่วนอาหารโปรตีนสูงที่มาจาก เนื้อสัตว์ใหญ่ เช่น เนื้อวัว เนื้อควาย หมู ไก่ เป็ด เป็นต้น เป็นโปรตีนที่ไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหาร เพราะใช้เวลาในการย่อย และการเผาผลาญนานมาก (ราว 48-72 ชั่วโมง) ทั้งนี้หากกระเพาะอาหารไม่สามารถย่อย และดูดซึมโปรตีนเหล่านี้ได้หมด อาจเกิดการตกค้างและนำไปสู่โรคอันตราย เช่นมะเร็งได้

ผักหลากชนิด วิตามินเกลือแร่

ผักใบเขียวจัด หลายชนิดมีวิตามินเคสูง ช่วยให้แผลในกระเพาะหายเร็วขึ้น ป้องกันเลือดออกในกระเพาะ และช่วยเพิ่มการดูดซึมอีกด้วย ผักใบเขียวจัดเหล่านี้ได้แก่
     

    คะน้า อุดมไปด้วยวิตามินซี ช่วยบำรุงสายตา ต้านทานการติดเชื้อในกระเพาะอาหาร
     

    ผักโขม มีวิตามินเอ กรดอะมิโน ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารได้
     

    ปวยเล้ง โพแทสเซียมสูง ช่วยความคุมความดันให้เป็นปกติ ทั้งยังช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น

ผักที่มีเบต้าแคโรทีนสูง การกินผักที่มีเบตาแคโรทีนสูง จะช่วยให้แผลในกระเพาะอาหารสมานกันเร็วขึ้น ป้องกันการติดเชื้อในกระเพาะอาหาร ผักและผลไม้ที่มีเบเต้าแคโรทีนสูง อาทิ
     

    ฟักทอง ในเนื้อของฟักทองอุดมไปด้วยฟอสฟอรัส วิตามินซี และมีกากใยสูง
     

    มะเขือเทศ มีวิตามินอี วิตามินซี โพทัสเซียม ช่วยให้แผลในกระเพาะอาหารหายเร็วขึ้น
     

    มะละกอ วิตามินซีและเบต้าแคโรทีนสูง ที่ช่วยในการขับถ่าย และรักษาแผลในกระเพาะอาหาร

เหล่านี้คืออาหารมีประโยชน์ ที่คนเป็นโรคกระเพาะทั้งหลายควรรับประทานครับ


ขอขอนคุณแหล่งข้อมูล : www.cheewajit.com นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 234

วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2555

กินอย่างไร...จึงจะเลี่ยงภัยจากโรคร้าย

โรคกระดูกพรุน คือ ภาวะพร่องของแร่ธาตุในกระดูก ทั้งด้านความหนาแน่น ปริมาณ และความแข็งแรง ภาวะดังกล่าวนี้จะทำให้กระดูกบางลงเพิ่มความสี่ยงที่กระดูกจะหัก

ประมาณกันว่ามีชาวอเมริกันถึง 20 ล้านคน โดยเฉพาะผู้หญิงวัยทองเป็นโรคนี้หรือเสี่ยงต่อโรคนี้ แม้ว่ากระบวนการเสริมสร้างกระดูกที่แข็งแรงอาจต้องใช้เวลาตลอดทั้งชีวิต แต่ช่วงที่เสี่ยงต่อโรคนี้ส่วนใหญ่คือวัยผู้ใหญ่ตอนปลาย อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ในระยะแรกอาการของโรคแทบจะไม่ปรากฏ แต่กระนั้นโรคนี้ก็ร้ายแรงถึงขนาดที่ว่าสามารถทำให้กระดูกสันหลังหรือสะโพกแตกร้าว ซึ่งน้อยคนนักที่รอดชีวิตมาได้หากอาการลุกลามไปถึงขั้นนั้น

การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ สามารถช่วยให้เราป้องกันหรือชะลอการบุกรุกของโรคนี้ได้ โดยบริโภคอาหารเหล่านี้เป็นประจำ
     

    ผลไม้และผักใบเขียวที่ปลูกแบบปลอดสารพิษ
     

    ผลิตภัณฑ์นม (ถ้าคุณแพ้นม หรือรับประทานนมไม่ได้ ให้ดื่มนมถั่วเหลืองเสริมวิตามิน D แทน)
     

    กุ้ง, ปลาคอด
     

    เต้าหู้ หรือผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองอื่นๆ
     

    ปลาทะเล
     

    แอปเปิ้ล
     

    หลีกเลี่ยง กาแฟ น้ำอัดลม น้ำตาลฟอกขาว เนื้อสัตว์ และเกลือ

โรคหอบหืด คือ ภาวะที่ช่องทางสำหรับลำเลียงอากาศเข้าสู่ปอดไม่ปกติ อาการจะเกิดขึ้นเมื่อเซลล์กล้ามเนื้อที่อ่อนนุ่มล้มเหลวในการขนถ่ายอากาศ จนเส้นทางดังกล่าวปิดในที่สุด จึงยากที่อากาศจะเข้าหรือออกจากปอด นำไปสู่อาการหายใจขัดหรือหายใจลำบาก ถ้าอาการเหล่านี้ดำเนินต่อไปเป็นเวลาชั่วระยะหนึ่ง อาจทำให้ผู้ป่วยหมดสติหรือเสียชีวิตจากการขาดอากาศหายในได้

แม้ว่าผู้ป่วยด้วยโรคนี้จะมีช่วงเวลาที่ไม่ปรากฏอาการ แต่พวกเขาก็ต้องใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัวว่า อาการอาจจะกำเริบขึ้นมาในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง โชคดีที่อย่างน้อยก็ยังมีอาหารจำพวกหนึ่งที่ช่วยลดการปะทุของโรค และบรรเทาอาการที่เกิดจากสภาวะอ่อนเพลียนี้ สิ่งที่ควรรับประทานได้แก่
     

    ผักและผลไม้ปลอดสารพิษ
     

    ปลาทะเล เช่น ปลาคอด แซลมอน แมคเคอเรล แฮริ่ง
     

    น้ำมันมะกอก
     

    โรสแมรี่ ขิง
     

    ลดการบริโภคนมและผลิตภัณฑ์จากนม ซึ่งเป็นตัวเพิ่มความรุนแรงของอาการหอบหืด

โรคมะเร็งลำไส้ สามารถเกิดขึ้นที่ส่วนใดก็ได้ของลำไส้ ไม่ว่าจะเป็นลำไส้เล็กหรือลำไส้ใหญ่ มะเร็งลำไส้ก่อตัวขึ้นเมื่อเซลล์ของลำไส้สัมผัสกับสารเคมีหรือสารก่อมะเร็งจน DNA ของเซลล์ถูกทำลาย ซึ่งนำไปสู่การผ่าเหล่า (mutation) ในเซลล์ และเซลล์เหล่านี้จะแบ่งตัวอย่างปราศจากการควบคุมและกระจายไปทั่วร่างกาย จนอวัยวะเสียหายและถึงแก่ชีวิตในที่สุด แม้ว่าพันธุกรรมจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคนี้ แต่นักวิจัยเชื่อว่า 90% มีสาเหตุมาจากการรับประทานอาหารของแต่ละคน ดังนั้น วิธีป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ที่ดีที่สุด คือ รับประทานอาหารให้เหมาะสม ซึ่งมีดังต่อไปนี้
     

    ผักและผลไม้ที่ปลูกแบบออร์แกนิค โดยเฉพาะ แอปเปิ้ล แครนเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่
     

    น้ำมันมะกอก
     

    แป้งไม่ขัดขาวเพื่อเพิ่มเส้นใย
     

    ปลาทะเล เช่น แซลมอน ทูน่า แฮริ่ง แมคเคอเรล เพื่อเพิ่มกรดไขมัน โอเม้า-3
     

    หัวหอม กระเทียม ต้นหอม ขมิ้น ขิง
     

    โยเกิร์ต
     

    บร็อคโคลี่ กะหล่ำปลี
     

    ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง
     

    ส้ม มะนาว หรือผลไม้รสเปรี้ยว
     

    หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ กรดไขมันโอเมก้า-6 ไขมันอิ่มตัว น้ำตาลฟอกขาว และแอลกอฮอล์
   
                 
  ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล : นิตยสาร Alternative Medicine

วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2555

รับประทานหวานได้ ไม่ทำร้ายสุขภาพ

จากการวิจัยและศึกษาเรื่องพฤติกรรม การรับประทานอาหารและน้ำของคนไทยล่าสุด จากมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) พบว่าคนไทยติดรับประทานหวานมากขึ้น เฉลี่ยรับประทานน้ำตาลกว่า 29 กิโลกรัม/ ปี หรือ 18 ช้อนชา/วัน ทำให้เกิดโรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือดสูง มากขึ้นกว่า 30%! ทำให้น่าสังเกตว่า วันหนึ่งเราเติมน้ำตาลลงเครื่องดื่มหรืออาหารกี่ช้อนชา? ปกติคนทั่วไปควรได้รับน้ำตาลไม่เกินวันละ 4-8 ช้อนชา ยิ่งถ้าเป็นเด็กวัยเรียน ผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุไม่ควรเกินวันละ 3 ช้อนชา แต่จะให้งดก็คงทำยากอยู่... เมื่อเป็นแบบนี้สารพัดน้ำตาลที่รับประทานทุกวัน มีชนิดใดบ้างที่เลือกทานแล้ว ยังให้ประโยชน์ต่อร่างกายชนิดที่เรียกว่า “เติมหวานได้แต่ไม่ทำร้ายสุขภาพ” เราลองมาทำความรู้จักคุณค่าน้ำตาลและความหวานกัน

น้ำตาลทราย

แม้น้ำตาลทรายขาวและน้ำตาลทรายแดงให้รสชาติหวานเหมือนกัน คือ 1 กรัม ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี หรือเทียบง่ายๆ 1 ช้อนชา ให้พลังงานประมาณ 19 กิโลแคลอรี แต่ให้คุณค่าทางอาหารต่างกัน
     

    น้ำตาลทรายขาว ได้มาจากอ้อยแล้วผ่านกรรมวิธีการผลิต ตกผลึกให้เป็นเกล็ดและผ่านการฟอกสี ดังนั้นวิตามินแทบจะไม่หลงเหลืออยู่เลย
     

    น้ำตาลทรายแดง ยังรักษาคุณค่าทางวิตามินได้ดีกว่าน้ำตาลทรายขาว เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก

แต่ดัชนีน้ำตาลของน้ำตาลทรายและน้ำตาลทรายแดงอยู่ที่ 73-75 ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์สูง ไม่เหมาะสำหรับคนที่ควบคุมน้ำหนักหรือเป็นโรคเบาหวาน

ถ้าเทียบพลังงานระหว่างน้ำตาลทรายและน้ำอ้อยในปริมาณที่เท่ากัน น้ำอ้อยมีฟอสฟอรัสและให้พลังงานน้อยกว่าน้ำตาลทรายถึง 5 เท่า เพราะน้ำอ้อยมีส่วนผสมของน้ำอยู่มาก แต่มีปริมาณแคลเซียมน้อยกว่าน้ำตาลทราย

น้ำตาลปี๊ปหรือน้ำตาลปึก

น้ำตาลปี๊บได้มาจากการเคี่ยวน้ำของยอดทลายอ่อนของมะพร้าวจนกระทั่งเหนียว ข้นและหวาน เป็นเครื่องปรุงติดบ้านคู่ใจแม่บ้านชาวไทยทุกครัวเรือน เพราะนอกจากความหวานแล้ว ยังได้ความหอมอร่อยอีกด้วย น้ำตาลปี๊ป 1 ช้อนชา ให้พลังงาน 18 กิโลแคลอรี ยังมีคุณค่าและวิตามินบ้าง เช่นแคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก

นมข้นหวาน

เป็นสารให้ความหวานที่ผลิตมาจากหางนม นำมาเติมน้ำตาลในปริมาณเข้มข้น และดึงไอระเหยจนข้นเหนียว นมข้นหวาน 1 ช้อนชา ให้พลังงาน 20 กิโลแคลอรี ถ้าเทียบในคุณค่าทางโภชนาการ นมข้นหวานให้พลังงานสูงมาก แต่ยังพอมีโปรตีน ไขมัน ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก วิตามินบี 1 บี 2 วิตามินซี และวิตามินเอ มากกว่าน้ำตาลชนิดอื่น แต่ก็ไม่เป็นอาหารหลักอยู่ดี ไม่มีคุณค่าทางอาหารเหมือน “นม” ปกติทั่วไป ไม่ควรให้เด็กรับประทานมากๆ เพราะจะทำให้อ้วนและมีผลต่อสุขภาพฟัน

น้ำตาลเทียม

เป็นสารให้ความหวานที่ได้จากการสังเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ เป็นสารให้ความหวานที่เป็นทางเลือก ของคนที่ควบคุมน้ำหนักหรือเป็นเบาหวาน น้ำตาลเทียมที่ขายทั่วไปคือ แซคคาริน แอสปาเทม ซูคาโลส ซึ่งให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลปกติตั้งแต่ 200-600 เท่า แต่ให้พลังงานต่ำ การใช้น้ำตาลเทียมในอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ จะเป็นอาหารหรือเครื่องดื่มที่บอกว่า “ให้แคลอรี 0” หรือ “ไม่มี น้ำตาล” แต่ยังคงรสหวานได้เหมือนปกติ แต่ก่อนเลือกให้ดูที่ฉลากสักนิด เพราะอาจให้พลังงานหลากหลายตั้งแต่ 0 แคลอรีจนถึง15 แคลอรี/ซอง และสำหรับการปรุงอาหารและเครื่องดื่ม น้ำตาลเทียมบางชนิดสามารถปรุงอาหารขณะร้อนได้ แต่บางชนิดก็ไม่ได้ ต้องยกลงจากเตาก่อน หรือผสมลงในเครื่องดื่มที่ไม่ร้อนจัด มิฉะนั้นความหวานจะหายไป

น้ำผึ้ง

น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ให้พลังงานประมาณ 15 กิโลแคลอรี น้ำผึ้งเป็นสารให้ความหวานต่างจากชนิดอื่นๆ ตรงที่อุดมไปด้วยโปรตีน พลังงาน วิตามินและเกลือแร่ ดัชนีน้ำตาลของน้ำผึ้งอยู่ที่ 55 ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง ดีต่อสุขภาพมากกว่า น้ำตาลทรายขาวหรือน้ำตาลทรายแดง จึงเป็นทางเลือกที่ดีของการปรุงอาหาร หรือเครื่องดื่มของคนที่กำลังลดน้ำหนัก ทั้งนี้ก็ไม่แนะนำให้รับประทานเกินวันละ 6 ช้อนชา มิฉะนั้นอาจเป็นผลร้ายต่อสุขภาพแทน

น้ำเชื่อม

เป็นการใช้น้ำตาลมาเคี่ยวผสมกับน้ำจนกระทั่งใส ส่วนใหญ่คนไทยจะใช้ปรุงอาหารหวานหรือเครื่องดื่มต่างๆ น้ำเชื่อมแต่ละชนิดก็ให้รสหวานเข้มข้นต่างกัน ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ผสม (หวานมากก็ให้พลังงานมากตาม) ส่วนวัตถุดิบที่นำมาทำเป็นน้ำเชื่อมสำเร็จรูปจากต่างประเทศ คุณค่าทางอาหารจะขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่นำมาใช้ เช่น องุ่น เมเปิลหรือแอปเปิล มักจะมีการเติมสารอาหารบางชนิดลงไปเพื่อขยายผลทางการค้านั่นเอง

เมื่อทราบดังนี้แล้ว ต้องกะปริมาณน้ำตาลให้ดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน โรคอ้วนหรือความดันโลหิตสูง ยิ่งต้องระวังและมีเป้าหมายในการรักษาจากการดูแลเรื่องโภชนาการ เพื่อรักษาระดับน้ำตาลให้ใกล้เคียงปกติเท่าที่จะทำได้ รักษาระดับไขมันในเลือดให้เหมาะสม รักษาน้ำหนักตัวและป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่างๆ พร้อมออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อชีวิตที่มีความสุข

 แหล่งน้ำตาลมีทั้งที่มาจากพืชและสัตว์ แหล่งน้ำตาลของพืชจะเป็นพืชที่มีหัว ซึ่งปริมาณน้ำตาลที่ได้จะแตกต่างกัน นอกจากนี้ยังมีสารอาหารอื่นปนอยู่ด้วยเช่น โปรตีน ไขมัน วิตามิน แร่ธาตุ พืชที่ให้น้ำตาล ได้แก่ ข้าวชนิดต่าง ๆ เผือก มัน ข้าวโพด อ้อย ตาล มะพร้าว ส่วนแหล่งน้ำตาลจากสัตว์ จะเป็นน้ำตาลในนมและไกลโคเจนที่เป็นพลังานสำรองในส่วนกล้ามเนื้อและตับ เทียบกันแล้วความหวานและปริมาณน้ำตาลจากสัตว์จะมีน้อยกว่าพืช

ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล : นิตยสาร HealthToday

วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

สูตรหน้าขาวใสสำหรับสาวผิวมัน

การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีขายตามเคาน์เตอร์ บางครั้งก็อาจมีส่วนผสมของสารเคมีที่รุนแรงต่อผิว และอาจทำให้ผิวมันขาดความสมดุล กลายเป็นต้นเหตุของปัญหาอื่น ๆ ตามมา ทางออกอย่างหนึ่งคือการใช้ทรีทเมนท์จากส่วนผสมธรรมชาติที่หาได้ง่ายในครัวเรือน สำหรับช่วยดูแลผิวมัน และนี่คือวิธีง่าย ๆ

วิธีที่ 1.     ผสมไข่ขาว 1 ฟอง น้ำมะนาว 1 ช้อนชา สะระแหน่ และแตงกวาครึ่งลูก ทาส่วนผสมลงบนใบหน้าทิ้งไว้ 15 นาที ก่อนล้างออก

วิธีที่ 2.     บดมะเขือเทศแล้วทาลงให้ทั่วผิวหน้า มะเขือเทศจะช่วยดูดซับความมันวาวส่วนเกินโดยไม่ทำให้ผิวแห้งตึง

วิธีที่ 3.     ผสมมะเขือเทศ น้ำมะนาว และข้าวโอ๊ตให้เป็นส่วนผสมข้น ๆ ทาลงบนใบหน้าแล้วขัดวนเบา ๆ ก่อนล้างออกด้วยน้ำอุ่น

วิธีที่ 4.     น้ำมันหอมระเหยในตระกูลซิตรัส อย่างเช่น มะนาว เกรปฟรุต หรือส้ม สามารถช่วยแก้ปัญหาผิวมันได้โดยไม่รุนแรง ลองหาโลชั่นที่มีส่วนผสมของพฤกษาสกัดตามธรรมชาติ แล้วเติมน้ำมันซิตรัสสองสามหยดต่อโลชั่นหนึ่งออนซ์ ใช้ในตอนกลางคืนเพื่อช่วยลดความมันวาวของผิว

วิธีที่ 5.     ผสมข้าวโอ๊ตบดกับน้ำมะนาวและน้ำมันมะกอกเพียงเล็กน้อย เพื่อให้เป็นส่วนผสมข้น ๆ ใช้ขัดใบหน้า แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ช่วยกำจัดน้ำมันส่วนเกินออกจากรูขุมขน และช่วยลดสิวเสี้ยน

วิธีที่ 6.     ผสมน้ำมะนาวกับน้ำอุ่นนิด ๆ และน้ำส้มสายชูเล็กน้อย แล้วใช้ก้อนสำลีชุบส่วนผสมเช็ดใบหน้า ปล่อยทิ้งให้แห้งโดยไม่ต้องล้างออกก่อนแต่งหน้าหรือทาครีมบำรุงอื่น ๆ มันจะช่วยลดความมันวาวและอาจช่วยลดเหงื่อที่ออกบนใบหน้าที่อาจทำให้เมคอัพเลอะเลือนจางได้ง่าย

วันเสาร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2555

กฎเหล็ก 5 ข้อเพื่อการลดน้ำหนัก

บางทีการทำอะไรทีละเล็กละน้อย แต่มีวินัย จะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อย่างมาก อย่างเช่นกฎเหล็กการลดน้ำหนัก


กฎเหล็กข้อที่ 1 เลือกเครื่องดื่มบางที่เรามีวินัยกับการเลือกอาหารมื้อหลัก แต่กับเครื่องดื่มตัวดีหลายตัวเป็นตัวร้ายสำหรับสุขภาพเรา คุณดื่มอะไรก็ตาม ลองดูว่ามันหวานหรือไม่ เพราะเครื่องดื่มที่หวานไม่ว่า น้ำอัดลม น้ำผลไม้(ที่บอกว่าไร้น้ำตาล ก็ไม่จริง) สมูทตี้ กาแฟเย็น หรือแม้แต่ชา กาแฟ ที่มีทั้งครีมและน้ำตาล
ล้วนเป็นแหล่งพลังงานส่วนเกินที่คุณใส่เข้าไปโดยประมาท เครื่องดื่มตลอดวันที่ไร้คุณภาพเป็นตัวการที่ทำให้ร่างกายคุณไม่ได้อย่างใจ

กฎเหล็กข้อที่ 2 ดื่มน้ำเปล่ามาก ๆการเลือกดื่มน้ำเปล่าเป็นการตัดโอกาสไม่ให้เราไปดื่มเครื่องดื่มที่มีพลังงานสูง ๆ โอกาสที่จะได้รับน้ำตาลส่วนเกินก็น้อยลง
การดื่มน้ำเปล่าทำให้เซลล์ในร่างกายไม่แห้ง กระบวนการเผาผลาญ Metabolism ในร่างกายก็จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เผาผลาญมาก ร่างกายก็ไม่เหลือส่วนเกินให้เรากลุ้มใจ

กฎเหล็กข้อที่ 3 กินอาหารให้ครบมื้อ
ขอให้ลบออกจากหน่วยความจำที่ว่าการอดอาหารเป็นการลดน้ำหนัก การไม่กินอาหารตามมื้อ
ตามเวลาที่ควรกิน ทำให้ร่างกายลดการเผาผลาญลง การเผาผลาญที่ต่ำลง เมื่อเรากินเข้าไปตามปกติร่างกายก็ใช้ไม่หมด
อาหารเช้า จำเป็นมาก ยิ่งกินยิ่งเพิ่ม เมตาโบลิซึมแต่เช้า เราจะสดชื่นไปทั้งวัน ไม่จำเป็นต้องเป็นมื้อที่ยุ่งยาก ขนมปังและผลไม้ ก็เป็นมื้อที่รวดเร็วได้
ควรกินสม่ำเสมอเฉลี่ย 3 -4 ชั่วโมงมื้อเล็ก จะดีกว่าอดบางมื้อแล้วกินแบบพายุ ร่างกายจะสับสนไปหมด

กฎเหล็กข้อที่ 4 วางแผนการกิน
เรามักเลือกอร่อยมาก่อนประโยชน์ ฉะนั้นควรมีข้อกำหนดในใจอยู่เสมอว่าวันนี้จะเลือกกินอะไรที่เป็นประโยชน์ วันนี้จะเดินทางไปที่ไหน ควรเลือกอะไรที่ดีต่อร่างกาย ไม่ใช่เพื่อนพาแห่ไปไหนก็ไปกับเขาได้ทุกครั้งทุกมื้อ
ลองเป็นคนนำเพื่อนไปร้านที่เราเลือกบ้าง หรือเลือกเมนูที่แตกต่างให้เพื่อนได้เห็น ช่วงแรกอาจต้องฝืนบ้าง แต่หุ่นสวยของคุณจะชวนเขาตามมาเอง

กฎเหล็กข้อที่ 5 ไม่กินจุบจิบมื้อดึก
ตลอดทั้งวันถ้าเราสามารถทำได้ดีทั้งสี่ข้อที่ผ่านมาแต่มาเบรกแตกในข้อสุดท้าย รับรองว่าสิ่งที่คุณพยายามมาทั้งหมดไม่เกิดผลลัพธ์ใด ๆ ทั้งสิ้น อย่าได้ละเลยกฎข้อนี้โดยเด็ดขาด
หากทนไม่ได้จริง ๆ ให้เริ่มจากผลไม้ที่ไม่หวาน เช่น ฝรั่ง แล้วค่อย ๆ ปรับตัวให้ชิน

การลดน้ำหนัก การลดความอ้วน ไม่มียาวิเศษใด ๆ ช่วยเราได้ชั่วข้ามคืน
การดำเนินวิถีชีวิตตามปกติ ไม่กินเกิน ไม่อดอาหาร พยายามใส่น้ำตาลเข้าไปในปากเราให้น้อยที่สุด ทีละคืบทีละก้าว แล้วคุณจะภูมิใจในความสำเร็จของคุณ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : www.lovevitamin.net

วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2555

สูตรสวย ด้วยผักและผลไม้ใกล้ตัว

การดูแลผิวหน้าด้วยสมุนไพรของสตรีทั่วโลกพบว่ามีการใช้กันมานานมากกว่า ๑ พันปีมาแล้วปัจจุบันได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าสมุนไพร ผัก ผลไม้ ไข่แดง น้ำผึ้ง นม และสิ่งที่ส่วนใหญ่กินได้เหล่านั้นอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ โปรตีน น้ำตาล และสารธรรมชาติที่มีประโยชน์ต่อผิวพรรณ

ประเทศไทยเองมีภูมิปัญญาการใช้สมุนไพรในการดูแลผิวพรรณมาอย่างยาวนานเช่นกัน ทั้งยังเป็นประเทศที่ร่ำรวยผักและผลไม้ ซึ่งทำให้สามารถเลือกใช้ได้ตามชนิดต่างๆ ทุกฤดูกาล ตามภูมิภาคที่สามารถหาผัก ผลไม้ สมุนไพร ได้แตกต่างกันไป

สมุนไพรเพื่อความงามสำหรับผิวหน้า

ใบหน้าเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำให้คนจดจำ ผิวหน้า ที่ชุ่มชื้น เรียบเนียน มีความยืดหยุ่น (หรือที่เรียกกันว่าหน้าเด้ง) ไม่มีจุดด่างดำเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา  แต่ด้วยสภาพของวัยที่สูงขึ้น และมีโรคประจำตัวบางอย่าง  สภาพของวิถีชีวิต เช่น นอนดึก สูบบุหรี่ ดื่มสุรา เครียด เป็นต้น ทำให้คนเราไม่สามารถมีผิวเรียบเนียนเช่นนั้นได้ การใช้สมุนไพรร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพจะส่งผลทำให้มีผิวพรรณที่ดีได้ยาวนาน

การใช้สมุนไพรสำหรับผิวหน้ามีหลักการง่ายๆ ดังนี้

- ต้องอยู่บนพื้นฐานของความสะอาด
- สมุนไพรสดใหม่มีคุณภาพดี มีการย่อยขนาดจนละเอียด ไม่มีการระคายเคืองต่อผิวหนัง
- เป็นสมุนไพรที่มีความปลอดภัย จำง่ายๆ ก็คืออะไรที่กินได้ (เช่น ผัก ผลไม้ต่างๆ) นั้นสามารถใช้เป็นเครื่องสำอางได้
- ต้องเชื่อมั่นธรรมชาติของผิวหนังที่มีกลไกดูแลตัวเองอยู่แล้ว ต้องรักษากลไกนั้นไว้นานๆ

    
ข้อควรรู้เกี่ยวกับผิวหนัง

ผิวหนังมีหน้าที่ห่อหุ้มอวัยวะภายใน มีกลไกในการป้องกันผิวหนังสูญเสียความชุ่มชื้น ป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต ป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย  ควบคุมอุณหภูมิ ควบคุมการซึมผ่านของสารต่างๆ ผ่านโครงสร้างของผิวหนัง รูขุมขน ต่อมไขมัน ต่อมเหงื่อ
                     
ผิวพรรณที่ดีควรมีความชุ่มชื้น เต่งตึง ไม่แห้งผาก ผิวพรรณที่แห้งผากจะทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น แก่ก่อนวัย เป็นฝ้า เป็นโรคทางผิวหนังได้ง่าย ซึ่งผิวพรรณจะเต่งตึงได้จาก ๓ องค์ประกอบได้แก่ น้ำ ซึ่งเป็นองค์ประกอบของเซลล์ถึงร้อยละ ๙๕ สารชุ่มชื้นตามธรรมชาติ ซึ่งผิวหนังสร้างขึ้นและ น้ำมัน ซึ่งผิวหนังจะมีกลไกการสูญเสียน้ำโดยมีการสร้างไขมันธรรมชาติปกป้องไม่ให้น้ำระเหยไปจากผิวหนัง (ครีมหรือไขมันตามธรรมชาติไม่ได้ไปเพิ่ม) การล้างหน้าด้วยน้ำร้อน การล้างหน้าบ่อย เกินความจำเป็น การล้างหน้าด้วยสบู่ที่มีความสามารถในการทำความสะอาดสูงๆ ล้วนทำให้ไขมันและสารที่ให้ความชุมชื้นตามธรรมชาติสูญเสียไป

                   
ผิวพรรณสะท้อนสุขภาพภายใน ความแข็งแรงและกลไกของผิวหนังขึ้นกับเลือด น้ำเหลืองที่มาหล่อ- เลี้ยง ดังนั้น ความเครียด อาหาร การออกกำลังกาย พฤติกรรมสุขภาพ ล้วนแล้วแต่มีผลต่อความงามของผิวพรรณ รวมถึงกรรมพันธุ์ก็มีส่วนสำคัญต่อการเป็นคนผิวแห้ง ผิวมัน ได้เช่นกัน

สมุนไพรที่ใช้เพื่อความงามของผิวหน้า

ว่านหางจระเข้ Aloe barbadensis Mill.
ป้องกันผิวแห้ง ทำให้เรียบลื่น เพิ่มความชุ่มชื้นต้านการอักเสบ ป้องกันแสงอัลตราไวโอเลต
ว่านหางจระเข้เป็นสมุนไพรที่ใช้เป็นเครื่องสำอางมาอย่างยาวนานนับพันปี มีบันทึกทั้งใน กรีก โรมัน ซาอุดีอาระเบีย จีน อินเดีย เล่ากันว่าเจลจากว่านหาง-จระเข้เป็นเคล็ดลับความงามของพระนางคลีโอพัตรา
 

                  
ใบว่านหางจระเข้มีน้ำเมือก และวุ้นมีสารสมาน    ผิว ช่วยลอกผิวหนังที่หยาบแห้งและเกิดผิวหนังใหม่     ที่นุ่มนวลขึ้นมาแทน สารนี้เป็นสารช่วยย่อยมีชื่อว่า     คาร์บอกซีเพปทิเดส (carboxypeptidase) และสารพวกสารเมือก (mucilage) สารช่วยย่อยตัวนี้จะมีฤทธิ์ลดการเจ็บปวด การอักเสบบวมของแผล ส่วนสารอะล็อก-ทินเอ (aloctin A) เป็นไกลโคโปรตีน จะไปช่วยทำให้เนื้อเยื่อที่ตายแล้วถูกทำลายไป และจะเพิ่มปริมาณของเซลล์ที่เกิดมาใหม่ให้มากขึ้น จึงทำให้แผลหายเร็ว

วุ้นจากว่านหางจระเข้ยังช่วยรักษาความชุ่มชื้นในผิวหนังชั้นนอกได้จากสารเมือก และสารโพลีแซ็กคาไรด์
      
การเตรียมว่านหางจระเข้
ควรใช้ว่านหางจระเข้อายุ ๑ ปีขึ้นไป เลือกใบล่างสุด ปอกเปลือกออกใช้ส่วนที่เป็นวุ้นใสๆ ล้างน้ำยางสีเหลืองออกให้หมด วิธีล้างยางออกให้หมดต้องนำใบหางจระเข้ที่เพิ่งตัดออกมายังไม่ต้องปอกเปลือก ให้นำทั้งใบไปแช่น้ำจนน้ำยางสีเหลืองไหลออกมาจนหมด จึงนำไปล้างน้ำอีกครั้งแล้วจึงค่อยปอกเปลือก โดยฝานลึกๆ เอาแต่วุ้นข้างในแล้วนำวุ้นมาล้างอีกครั้งหนึ่ง

การใช้ว่านหางจระเข้ใช้วุ้นว่านหางจระเข้ทาบริเวณที่เป็นสิว จะทำให้สิวยุบตัว และไม่เป็นแผลเป็น
ใช้เจลจากใบสดๆ ตัดเป็นชิ้นขนาดพอดีกับ   เปลือกตา วางทับบนเปลือกตารักษาผิวบริเวณดวงตา บวมช้ำ

ใช้วุ้นว่านหางจระเข้ล้วนๆ ทาที่ใบหน้าทิ้งไว้เพื่อบำรุงผิว (สำหรับคนหน้าแห้งอาจจะผสมกับครีมทาหน้าทั่วไปก็ได้) ซึ่งจะช่วยแก้ไขรอยหมองคล้ำ ทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้น ลบรอยเหี่ยวย่น ใช้เป็นประจำจะลดรอยแผลเป็นจากสิว  รักษาฝ้า จุดด่างดำบนใบหน้า

ใช้ทาบนผิวหน้าในลักษณะของโทนเนอร์เพื่อป้องกันแสงอัลตราไวโอเลต หรือเป็นรองพื้นสำหรับคนที่ผิวมันซึ่งทำให้แต่งหน้าลำบาก ใช้วุ้นว่านหางจระเข้ทาให้ทั่วใบหน้า เสร็จแล้วแต่งหน้าตามปกติ ทำให้เครื่องสำอางบนใบหน้าไม่ลบเลือนง่าย

ใช้พอกหน้าเพื่อแก้ปัญหาผู้ที่มีรูขุมขนกว้าง โดยใช้ว่านหางจระเข้ ๓ ส่วน น้ำผึ้ง ๑ ส่วน น้ำมะนาว ๑ ส่วนผสมให้เข้ากัน พอกหน้าทิ้งไว้ ๒๐ นาที จึงล้างออก จะช่วยสมานรูขุมขนและทำให้ผิวหน้านุ่มเนียนขึ้น

ใช้ทำเป็นครีมล้างหน้า ครีมพอกหน้า เช่น ใช้วุ้น ว่านหางจระเข้ ผสมน้ำนม ทิ้งไว้สัก ๑๐-๑๕ นาทีแล้ว  ล้างออก บำรุงผิว ลดการเกิดสิว หรือใช้วุ้นว่านหางจระเข้ ร่วมกับสมุนไพรตัวอื่น เช่น ว่านหางจระเข้ ๖ ส่วน บัวบก ๒ ส่วน รำข้าวสาลี ๒ ส่วน นม ๐.๕ ส่วน น้ำผึ้ง ๐.๕  ส่วน ซึ่งแล้วแต่สภาพผิว ถ้าผิวแห้งก็ใส่นมมาก ถ้า    ผิวมันก็ลดปริมาณนมแล้วเพิ่มปริมาณน้ำผึ้ง  นำส่วนผสมมาปั่นผสมกัน พอกหน้าทิ้งไว้สัก ๑๐-๑๕ นาที     นวดคลึงเบาๆ ผิวหน้าจะสดใส ลบรอยแผลเป็นและ   จุดด่างดำ ให้พอกสม่ำเสมอสัปดาห์ละประมาณ ๑ ครั้ง

มะเขือเทศสุก Lycopersicon esculentum Mill.
เพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวหนังสดชื่น ป้องกันผิวจากอนุมูลอิสระ ทำให้หน้าขาวขึ้น
น้ำคั้นจากผลมะเขือเทศมีวิตามินหลายชนิด จึงมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และช่วยทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้นและมีสารกลูโคอัลคาลอยด์ ชื่อโทเมทีน (tomatine)  เป็นสารที่ออกฤทธิ์สมานแผล นอกจากนั้น มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ ช่วยล้างผิวหน้าให้สะอาดนุ่มนวล ปรับสภาพผิวแห้งกร้าน และคืนสภาพผิวชุ่มชื้นได้เป็นอย่างดี

การเตรียมมะเขือเทศสามารถใช้มะเขือเทศได้ทั้งลูกโดยไม่ต้องปอกเปลือก

การใช้มะเขือเทศฝานมะเขือเทศวางบนใบหน้าสักครู่  จะช่วยทำให้ใบหน้าสะอาด  และดูเต่งตึงเปล่งปลั่งขึ้น
มะเขือเทศปั่นผสมกับข้าวโอ๊ตหรือรำข้าว พอกหน้า ทิ้งไว้ ๑๕-๒๐ นาทีแล้วล้างออก
เนื้อมะเขือเทศสุกบดละเอียด ลูบไล้ปลายหางตาจะลดการเหี่ยวย่น ป้องกันการเกิดริ้วรอยตีนกา ต้องทำทุกวันจึงจะเห็นผล
มะเขือเทศสุกบดละเอียด ผสมน้ำนมสด เป็น beauty mask พอกหน้าทิ้งไว้ ๑๕-๒๐ นาทีแล้วล้างออก พอกเป็นประจำจะทำให้ผู้ที่มีหน้าดำเป็นจุดๆ ค่อยๆ ขาวขึ้น ช่วยทำให้ผิวหน้าสะอาดขึ้น

ฝรั่ง Psidium guajava Linn.
เพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้เซลล์แข็งแรง ป้องกันผิวจากอนุมูลอิสระ สมานผิว
ฝรั่งเป็นผลไม้ที่สตรีในหมู่เกาะมหาสมุทรแปซิฟิกนิยมใช้เป็นเครื่องสำอางทาผิวหน้า โดยที่ฝรั่งมีโพแทส-เซียม น้ำตาล และกรดอะมิโนที่สามารถดึงน้ำให้อยู่ชั้นบนของผิวหนัง จึงทำให้ผิวหนังมีความชุ่มชื้นขึ้น นอกจากนี้ ฝรั่งยังมีวิตามินสูงที่สำคัญคือวิตามินบี ๒  ซึ่งถือว่าเป็นวิตามินเพิ่มพลัง ซึ่งจำเป็นในการซ่อมแซมและการเจริญเติบโตของเซลล์ รวมทั้งมีวิตามินบี ๕ ซึ่งเป็นวิตามินที่มีความจำเป็นต่อเซลล์เช่นกัน ฝรั่งยังสามารถป้องกันผิวหน้าไม่ให้ถูกทำร้ายจากอนุมูลอิสระและเพิ่มการสร้างเซลล์ใหม่จากการที่ในฝรั่งมีวิตามินเอ วิตามินซี รีดิวซิ่งชูการ์ (reducing sugar) แมกนีเซียม และทองแดง

การเตรียมฝรั่งเลือกฝรั่งที่สดและไม่สุกจนเกินไป เอาเฉพาะส่วน ที่เป็นเนื้อ ไม่ใช้เมล็ด ควรหั่นเป็นชิ้นเล็กก่อนปั่น และต้อง เติมน้ำลงไปจำนวนหนึ่งทุกครั้งในการปั่น เพราะฝรั่งมีน้ำอยู่น้อย

การใช้ฝรั่งเนื้อฝรั่งหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ๑ ถ้วย น้ำ ๑_๒ ถ้วย น้ำผึ้ง  ๑_๔ ถ้วยปั่นจนเป็นเนื้อครีม นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ ๑๐-   ๑๕-๒๐ นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดทำทุกวันก่อนเข้านอน หน้าจะสดใส เกลี้ยงเกลาและนวลเนียนขึ้น

แตงกวา Cucumis sativusLinn.
เพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวหนังสดชื่น เพิ่มความยืดหยุ่น ลดการบวมแดง สมานผิว
แตงกวาเป็นสมุนไพร เก่าแก่ชนิดหนึ่งซึ่งสาวทั่วโลกใช้เป็นเครื่องสำอางมาอย่างยาวนาน โดยแตงกวาช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น มีสารกลูซิด (glucids) กรดอะมิโน และเกลือแร่ต่างๆ ไปช่วยทำให้เกิดของสารชุ่มชื้นตามธรรมชาติที่ผิวหนังขึ้นมาใหม่

แตงกวายังช่วยทำให้ผิวหนังคงความเยาว์วัย มีความยืดหยุ่นจากการที่แตงกวามีสารซิสทิน (cystin) และเมทิโอนิน (methionin) และยังมีสารโพลีแซ็กคาไรด์ ที่ช่วยทำให้ผิวหนังสดชื่น ต้านการเป็นปื้นแดง ซึ่งจะมีประโยชน์ในการใช้ทาหลังจากไปตากแดดมา เช่น ไปทำนา ไปตีกอล์ฟ เป็นต้น
แตงกวาเป็นสมุนไพรที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหน้าแห้งจากการที่มีคุณสมบัติไปเพิ่มความชุ่มชื้นและเหมาะกับคนที่มีหน้ามันจากคุณสมบัติสมานผิว

การเตรียมแตงกวาหั่นแตงกวาสดๆ ตามขวางบางๆ วางให้ทั่วใบหน้า
หั่นแตงกวาแล้วปั่นกรองคั้นเอาแต่น้ำเก็บไว้ใช้ทา ไม่ควรเก็บไว้นานเกิน ๒ วัน
นำแตงกวาปอกเปลือก ๔ ส่วน กลีเซอรีน ๓ ส่วน น้ำ ๑ ส่วน ปั่นเข้าด้วยกัน กรอง เก็บน้ำไว้ใช้ได้ประมาณ ๑ ปี นำสารสกัดแตงกวานี้ไปผสมกับเนื้อครีมหรือโลชัน ประมาณ ๒-๔  ช้อนชาต่อครีมหรือโลชัน ๑๐๐ มิลลิลิตร

การใช้แตงกวาใช้แตงกวาสดๆ ฝานเป็นชิ้นบางๆ วางให้ทั่วใบหน้าที่ทำความสะอาดแล้ว ทำบ่อยๆ จะทำให้ใบหน้า ดูผุดผ่อง เปล่งปลั่งขึ้น และยังช่วยรักษาฝ้าบนใบหน้า ได้อีกด้วย
ใช้น้ำแตงกวามาทาใบหน้าเป็นประจำจะช่วยลดจุดด่างดำ รอยฝ้าที่เกิดจากการผจญแสงแดดและมลพิษ ระหว่างวัน และช่วยบำรุงผิว

ใช้แตงกวาสดปั่นละเอียด ๒-๓ ผล ผสมกับน้ำผึ้ง ๑_๔ ถ้วย หรือนมสด ๑_๒ ถ้วย ปั่นให้ละเอียด นำมาพอก   หน้า ทิ้งไว้ ๑๐ นาที แล้วล้างออก ก่อนนอนทุกวัน เหมาะกับคนผิวแห้ง จะทำให้ผิวหน้านุ่มนวลขึ้น

ใช้แตงกวาปั่นละเอียด ๒-๓ ผล โดยผสมกับไข่ขาวดิบตีจนฟู ๑ ฟอง น้ำมะนาว ๑ ช้อนชา ผสมจนเป็น เนื้อเดียวกัน นำมาพอกทิ้งไว้ ๑๐-๑๕ นาที ลดความมันบนใบหน้าสำหรับคนผิวมัน และยังช่วยกำจัดสิวเสี้ยน ทำให้หน้าเกลี้ยงเกลาขึ้น

ใช้แตงกวาฝานเป็นแว่นแปะที่ดวงตา แตงกวาสดจะมีเอนไซม์ย่อยเซลล์ที่ตายแล้ว ทำให้เซลล์บริเวณรอบดวงตาเย็น การเกร็งตัวของกล้ามเนื้อลดลง ริ้วรอยน้อยลง

ใช้แตงกวาสดใหม่ทั้งผลปั่นละเอียด ผสมน้ำผึ้งพอเหลว นำมาพอกหน้า ทิ้งไว้สักครู่ และล้างออกด้วยน้ำอุ่น เนื้อแตงกวาจะช่วยย่อยโปรตีนชั้นนอกที่หยาบกร้านและเกรียมแดดให้หลุดออกมาได้ และยังช่วยทำให้ผิวหนังชุ่มชื้นขึ้น ไม่แห้งแตกเป็นขุย

มะม่วง Mangifera indica Linn.
เพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้เรียบ ลื่น ทำให้ผิวหนังสดชื่น ป้องกันผิวจากอนุมูลอิสระ
มะม่วงมีวิตามินซีและ reducing glucid สูง จึงช่วยทำให้ผิวหนังสดชื่น ลบรอยเหี่ยวย่นและต้านอนุมูลอิสระ ในมะม่วงยังมีสารที่เป็นน้ำตาลร่วมกับกรดอะมิโน จึงช่วยทำให้เกิดความเรียบลื่น ชุ่มชื้นบนชั้นของหนังกำพร้า วิตามินเอ วิตามินซี และเกลือแร่ที่มีอยู่ในมะม่วงยังช่วยให้กลไกการสร้างเซลล์ใหม่เป็นไปได้ดียิ่งขึ้น

การเตรียมมะม่วงปอกเปลือกออก เลือกใช้เฉพาะส่วนที่เป็นเนื้อ

การใช้มะม่วง ใช้สำหรับคนเป็นฝ้า นำเนื้อมะม่วงสุกมายีหรือ ปั่น แล้วนำไปพอกให้ทั่วหน้า ทิ้งไว้จนรู้สึกว่าแห้งจึงล้างออก จะทำให้หน้าขาวและนุ่มนวลขึ้น มะม่วงสามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว

บัวบก Centella asiatica L.
สร้างเซลล์ใหม่ ทำให้เซลล์แข็งแรง ลดอาการบวมคั่ง (decogestion) กระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อของผิวหนัง

บัวบกเป็นสมุนไพรที่มีชื่อเสียงในการรักษาแผลมาอย่างยาวนาน ทำให้แผลหายเร็วและไม่เป็นแผลเป็น โดยการที่บัวบกไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสทินซึ่งเป็นส่วนประกอบของผิวหนัง จากการที่มีสารพวกไตรเทอร์พีน เช่น asiaticoside, madecassoside,    asiatic, madecassic, madisiatic acids เป็นต้น                     
นอกจากนี้ ยังมีสารฟลาโวนอยด์เสริมสรรพคุณในการลดการอักเสบ ลดการระคายเคือง สารในบัวบกเหล่านี้ยังทำให้การไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดเล็กๆ ดีขึ้น จึงมีประโยชน์ต่อผิวหนังหลายด้าน เช่น เป็นการทำให้เซลล์ได้รับอาหารมากขึ้น เซลล์แข็งแรงขึ้น ลดอาการบวมคั่ง แก้ปัญหาผิวหนังที่มีลักษณะเป็นผิวส้ม

การเตรียมบัวบกบัวบกเป็นสมุนไพรที่ขึ้นกับดิน ต้องเลือกตัดเอาเฉพาะส่วนที่เหนือดิน แล้วนำมาล้างให้สะอาด บัวบกมีลักษณะเหนียว ถ้านำไปปั่นในเครื่องปั่นทั้งต้นโดยไม่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนและจะต้องมีน้ำอยู่ด้วย มิเช่นนั้นจะทำให้เครื่องปั่นทำงานหนักและมีปัญหาได้

การใช้บัวบกใบบัวบกส่วนที่เหนือดินตัดรากออก ๑ กำมือหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ น้ำสะอาด ๒-๓ ช้อนโต๊ะ อาจจะเติมน้ำผึ้งลงไปสัก ๑ ช้อนชา ปั่นให้ละเอียดเป็นเนื้อเดียวกันพอกก่อนเข้านอนทิ้ง ไว้ ๑๕-๒๐ นาทีแล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด พอกได้ทุกวัน จะทำให้ผิวหน้าอ่อนเยาว์ สดใส ไร้รอยแผลเป็น

ข้อควรรู้เกี่ยวกับการใช้สมุนไพร

สมุนไพรทุกอย่างอาจมีบางคนที่แพ้ได้ การทดสอบว่าแพ้หรือไม่ให้นำส่วนผสมที่จะใช้ทาที่ท้องแขนก่อน เพราะผิวหนังบริเวณนี้จะเป็นส่วนที่บางกว่าหน้า ทิ้งไว้สักพักหนึ่งถ้าไม่เกิดอาการแสบร้อน มีผื่น ถือว่าไม่แพ้ การใช้สมุนไพรเพื่อที่จะได้ผลต้องมีการใช้อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง จึงจะเห็นผล ตำรับต่างๆ ในการใช้สมุนไพรเพื่อความงามส่วนใหญ่เป็นผลไม้หรือผักที่ไม่ได้ตายตัว สามารถที่ปรับได้ ผสมสูตรขึ้นมาใหม่ได้ตามชนิดผลไม้หรือผักที่มีอยู่ ระยะเวลาในการทำหรือพอกก่อนล้างออกนั้นไม่ได้ตายตัว ขึ้นกับสภาพผิวของแต่ละคน คนที่ผิวแพ้ง่ายควรใช้เวลาน้อยกว่า และการใช้ในช่วงแรกไม่ควรพอกหรือทาทิ้งไว้นานๆ โดยเฉพาะตำรับที่มีกรดผลไม้ (ที่มักมีในมะขาม มะนาว สับปะรด) ซึ่งต้องมีการปรับตัวในการใช้ช่วงแรกๆ ต้องใช้ปริมาณน้อยๆ และในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนใช้ เช่น ถ้าใช้มะขามล้างหน้า ในช่วงแรกอาจจะต้องล้างออกทันทีประมาณ ๑ สัปดาห์ ก่อนทาหรือพอกทิ้งไว้ สามารถปรับตามสภาพของผิว เช่น ผิวแห้ง ควรใช้ น้ำนมโยเกิร์ต ไข่แดง  ผิวมัน ใช้น้ำมะนาวหรือน้ำส้ม ไข่ขาว  ส่วนน้ำผึ้งสามารถเติมลงไปได้ทุกสภาพผิว
 
ขอขอบคุณ : ภกญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร