วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556

108 สมุนไพรไทย ลดความดันโลหิตสูง

การลดความดันโลหิตสูง เป็นเป้าหมายในการรักษาผู่ป่วยโรคความดันโลหิตสูง แต้ถ้าเราไม่ป่วยเลยนั่นย่อมจะดีกว่า เป็นที่ทราบกันดีว่าการใช้ชีวิตในสังคมปัจจุบันที่สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ฝุ่นควันมลพิษต่าง ๆ ความเครียด การรับประทานอาหารที่ไม่ถูกสุขลักณะ หวานจัด เค็มจัด หรือมันจัด การขาดการออกกำลังกาย สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่จะก่อให้ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ตามมามากมาย โดยเฉพาะโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งสถิติผู้ป่วยโรคนี้เพิ่มขึ้นตลอดเวลา และกลุ่มอายุของผู้ป่วยโรคนี้ก็เริ่มน้อยลง มีการพบว่าคนอายุ 25 ปีก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคความดันโลหิตสูงได้แล้ว 

แต่มีคำกล่าวที่ "กินอย่างไร ก็ได้อย่างนั้น" คำกล่าวนี้ถูกต้องทีเดียว โดยเฉพาะประเทศไทยแล้ว อุดมไปด้วยพืชผัก สมุนไพรต่าง ๆ มากมาย ที่จะนำมาประกอบอาหาร หรือกินเป็นยาได้ ถ้าลองศึกษาคนคว้าดูจะรู้ว่ามีพืชผัก สมุนไพรเป็นร้อยเป็นพัน ทีมีสรรพคุณทางยา สามารถรับประทานเพื่อป้องกันและรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ได้ โดยเฉพาะโรคความดันโลหิตสูง โรคยอดฮิตโรคหนึ่งที่คนไทยเป็นกันมาก เราลองมาดูกันว่ามีพืชผัก สมุนไพรอะไรบ้างที่เราจะนำมารับประทานที่เราจะเรียกว่า " กินอาหารให้เป็นยา ไมใช่กินยาเป็นอาหาร"



ส่วนของพืชผักสมุนไพร - วิธีใช้ เพื่อ ลดความดันโลหิตสูง 

1. กระถินไทย วิธีใช้ นำเมล็ดมาบดเป็นผง หรือคั่วกินเป็นอาหารปกติ ยอดและฝักอ่อนจิ้มน้ำพริกเป็นอาหาร 

2.กระเทียม วิธีใช้ ให้กินกระเทียมสด 5-7 กลีบ/วันเป็นประจำโดยสับให้ละเอียด กินวันละประมาณ 2 ช้อนชา(10กรัม) กินร่วมกับอาหารอื่นๆ 

3. กล้วย ส่วนที่ใช้ ใบกล้วย ผลกล้วยสุก วิธีใช้ นำใบกล้วยตากแห้ง หั่นย่อยมามวนเป็นบุรี่สูบหรือผลกล้วยสุกกินเป็นของว่าง 

4.กะเพรา ส่วนที่ใช้ ใบและยอด วิธีใช้ ใบกะเพรา แห้งป่นเป็นผง ชงกับน้ำดื่ม 

5. กานพลู วิธีใช้ นำดอกมาปรุงเป็นอาหาร เป็นเครื่องเทศปรุงรสอาหาร 

6. กุหลาบ วิธีใช้ นำส่วนดอก กุหลาบมาต้มดื่ม ตอนเช้า 

7. เก็กฮวย วิธีใช้ นำดอกเก็กฮวย 1 หยิบมือ มาต้มน้ำ 3 แก้ว ใช้ดื่มแทนน้ำตลอดวัน 

8. โกโก้ วิธีใช้ นำเม็ดโกโก้ ที่คั่วแห้งมาเป็นเครื่องดื่มยามว่างหรือทำเป็นช็อคโกแลต ผสมอาหาร 

9. ข้าว ส่วนที่ใช้ เมล็ดข้าว วิธีใช้ นำเมล็ดข้าวมาป่นคั่วแห้ง ชง น้ำดื่มเช้า-เย็น 

10. ขิง วิธีใช้ ใช้ขิงสดเอามาฝาน ต้มกับน้ำหรือผงแห้งชงกับน้ำดื่ม 

11.ขี้เหล็ก ส่วนที่ ดอกและใบ วิธีใช้ ดอกสด 1 กำมือ(ต้มน้ำ 3ถ้วย นาน 
15 นาที นำมาดื่ม เช้า-เย็น 

12. คึ่นไฉ่ ส่วนที่ใช้ ต้น ใบ ราก วิธีใช้ ตำรายาพื้นบ้าน ให้ใช้โดยเอามาต้นสดคั้นเพาะน้ำ หรือกินทั้งต้น พร้อมอาหาร หรือใช้ใบและต้นสดขนาด 1-2 กำมือ ตำให้ละเอียด ต้มน้ำดื่มครั้งละ 1- 2ช้อนโต๊ะ วันละ 2 ครั้งก่อนอาหาร 

13. งา วิธีใช้ นำเมล็ดงา มาปั่นกับน้ำเต้าหู้ ดื่มทุกเช้า หรือผสมเมล็ดงาคั่วในขนมต่างๆ 

14. จำปา วิธีใช้ นำดอกจำปา มาต้มน้ำดื่มตอนเช้า 

15. ชา วิธีใช้ ใบแห้ง 1 หยิบมือ ชงน้ำร้อน 1-2 แก้ว ทิ้งไว้ 5- 10 นาที นำมาจิบบ่อยๆดื่มต่างน้ำ 

16.เดือย วิธีใช้ นำลูกเดือยมาต้มเป็นของว่าง

17. ตะไคร้ ส่วนที่ใช้ ต้นแก่ (ตัดใบทิ้ง)หรือ เหง้าแก่ มีน้ำมันหอมระเหยปริมาณสูง ตำรายาไทยให้เป็นยา ขับปัสสาวะ น้ำสกัดต้นมีฤทธิ์ ลดความดันโลหิตได้ ขับปัสสาวะอย่างอ่อนและลดการอักเสบ 

ขนาดและ วิธีใช้ 

ต้นสด วันละ 1 กำมือ หรือหนัก 40-60 กรัม ต้มกับน้ำ 3-4 ถ้วย แบ่งดื่ม วันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 1 ถ้วยชา (7.5 มิลลิลิตร ) ก่อนอาหาร 
เหง้า ฝานเป็นแวนบางๆ คั่วไฟอ่อนพอเหลือง ครั้งละ 1 หยิบมือ ชงกับน้ำ
1 ถ้วยชา รินเฉพาะส่วนใส ดื่มจนหมด วันละ 3 ครั้ง เมื่อปัสสาวะคล่องให้หยุดยา 

18. ถั่วดำ วิธีใช้ นำเมล็ดถั่วดำ มาต้มน้ำดื่ม หรือกินเมล็ดด้วย เช้า -เย็น 

19. ถัวเหลือง วิธีและปริมาณที่ใช้ เมล็ด ถั่วเหลืองแห้ง 30-90 กรัม ต้มน้ำดื่มหรือบดเป็นผง กิน เปลือกเมล็ดแห้ง 10-15 กรัม ต้มน้ำกิน 

20. ทับทิม ส่วนที่ใช้ น้ำจากผลทับทิม (เยื้อหุ้มเมล็ด) วิธีใช้ นำน้ำทับทิมที่คั้นจากผลทับทิมได้มาดื่มวันละ 50 ซีซี

21. ทานตะวัน วิธีใช้ นำน้ำมันจากเมล็ดทานตะวัน มาใช้ปรุงอาหาร หรือ ใช้เมล็ดทานตะวันคั่วแห้งกินเป็นของว่าง 

22. บัวบก ส่วนที่ใช้ ทั้งต้น วิธีใช้ ใช้ทั้งต้นสด 30- 40กรัม คั้นน้ำจากต้นสด เติมน้ำตาลเล็กน้อย 

23. ผักกาดหอม วิธีใช้ นำใบผักกาดหอมมากินเป็นอาหาร

24. ผักชีฝรั่ง ส่วนที่ใช้ ทั้งต้น /เมล็ด วิธีใช้ นำต้นผักชีฝรั่ง 1 กำมือ ต้มน้ำดื่ม หรือนำเมล็ดผักชีฝรั่งมาบดเป็นผงชงน้ำร้อนดื่มตอนเช้าๆ 

25.พริกไทยดำ วิธีใช้ ใช้เมล็ดพริกไทยดำมาปรุงอาหาร 

26. พริกหยวก ส่วนที่ใช้ ผล /ใบ วิธีใช้ นำผลพริกหยวก มาผัดปรุงรสอาหาร หรือนำใบ 1 กำมือมาต้มดื่ม 

27. พลูคาว วิธีใช้นำใบ ต้นพลูคาว 7 ใบมาคั้นน้ำดื่ม เช้า-เย็น 

28. ฟักทอง วิธีใช้ นำเมล็ดฟักทอง มากินเป็นของว่าง 

29. มะกรูด วิธีใช้ นำใบมะกรูด 7-10 ใบ นำมาต้มน้ำดื่ม เช้า -เย็น

30. มะเฟือง วิธีใช้ ผลนำมาคั้นน้ำดื่ม 1-2 ผล เช้า-เย็น 

31. มะไฟ วิธีใช้ นำผลมะไฟ มากิน เช้า-เย็น 

32. มะละกอ วิธีใช้ นำผลสุกมากินเป็นอาหาร หรือนำผลดิบ 1 ผล/น้ำ 1 ลิตร ต้มน้ำดื่มแทนน้ำ 

33. มะลิ วิธีใช้ นำดอก /ใบ 1 กำมือ ต้มน้ำดื่ม เช้า -เย็น 

34. มันฝรั่ง วิธีใช้นำหัวมันฝรั่ง มาปรุงเป็นอาหาร 

35. ยอบ้าน วิธีใช้ นำผลโตเต็มที่ไม่สุก มาคั้นน้ำดื่ม ผสมเกลือและมะนาว เพื่อเพิ่มรส ดื่มเช้า-เย็น 

36. สะระแหน่ วิธีใช้ นำใบสะระแหน่ 1 กำมือมาปั่นหรือต้มน้ำดื่มตอนเช้า-เย็น

37. หอมใหญ่ วิธีใช้ หัวหอมใหญ่ เป็นเครื่องเทศที่เผ็ดร้อนใช้แต่งกลิ่นอาหารได้หลายชนิด 

38. โหระพา วิธีใช้ นำทั้งใบต้น 1กำมือต้มน้ำดื่มหรือนำใบมาปรุงเป็นอาหาร 

39. องุ่น วิธีใช้ ผล จำนวนพอควรคั้นน้ำเป็นเครื่องดื่ม 

วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เคล็ดลับทำซุปผักสูตรบ้าน ๆ ต้านอนุมูลอิสระ

สำหรับบทความนี้ผู้เขียนขออนุญาติแนะนำสูตรอาหารเพื่อสุขภาพง่าย ๆ แบบบ้าน ๆ แต่คุณค่าทางอาหารมากมายทีเดียว ซึ่งซุปผักสูตรบ้าน ๆ ต้านอนุมูลอิสระสูตรนี้ใคร ๆ ก็ทำได้ เพียงแค่มีเครื่องปั่นน้ำผลไม้ และพืชผักที่หาได้ง่าย ๆ แถวบ้าน หรือท้องตลาดทั่วไป แต่ขอบอกก่อนนะ ผู้เขียนไม่ชอบฟิกว่าต้องใส่อะไรเท่าไหร่แบบต้องแเป๊ะ ๆ มันดูยากไป เอาแบบอาจารย์ยิ่งศักดิ์เลย อยากใส่เท่าไหร่ก็กะประมาณเอง  มาดูส่วนประกอบกัน



ส่วนประกอบ

นมรสจืด
เกลือ 
พริกไทยดำ
ผักหวาน เด็ดเอาเฉพาะใบ
ฝักทองต้มสุก
มะเขือเทศ หั่นเป็นแว่น
ใบสะระแหน่

สำหรับวิธีทำ นำนมสดรสจืดพอประมาณเทใส่ในเครื่องปั่น แล้วตามด้วยผักหวานที่เด็ดเอาเฉพาะใบ มะเขือเทศที่หั่นเป็นแว่น ฝักทองต้มสุก และใบสะระแหน่ แล้วปั่นทั้งหมดให้เข้ากัน เมื่อส่วนประกอบเข้ากันแล้วก็ปิดเครื่อง จากนั้นก็เติมเกลือประมาณครึ่งช้อนชา และพริกไทยดำประมาณ7-10 เม็ด อาจจะโขลกให้พอแตกก่อนก็ได้ จากนั้นก็ปั่นเบา ๆ อีกครั้ง เสร็จแล้วก็เทใส่ชาม สามารถรับประทานได้ทันที หรือนำไปแช่ตู้เย็นประมาณ 10-15นาที แล้วนำมารับประทานก็จะให้รสชาดอร่อยแปลก ๆ ไม่แพ้พวกซุปของฝรั่งเลยทีเดียว ซึ่งจะมีรสชาดเค็มมันจากนม และเกลือ เผ็ดร้อนนิดหน่อยจากพริกไทยดำ รสหวานจากผักหวาน และหอมรสมิ้นต์จากใบสะระแหน่ ซึ่งนอกจากรสชาดที่อร่อยแล้ว ยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการจากผักแต่ละชนิด ซึ่งให้ทั้งกากใย สารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน เกลือแร่ต่าง ๆ มากมายที่ช่วยให้สุขภาพแข็งแรง ช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ และช่วยชลอความแก่ ซึ่งตรงนี้เองใคร ๆ ก็ชอบ แม้แต่ผู้เขียนเอง

คุณค่าทางโภชนาการ และสรรพคุณทางยา

มะเขือเทศ ในผลมะเขือเทศมีสารจำพวก แคโรทีนอยด์ ชื่อไลโคพีน (Lycopene) ซึ่งเป็นสารสีแดง และวิตามินหลายชนิด เช่น วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินเค โดยเฉพาะวิตามินเอ และวิตามินซี มีในปริมาณสูง มีกลดมาลิค กรดซิตริก ซึ่งให้รสเปรี้ยว และมีกลูตามิค (Glutamic) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนช่วยเพิ่มรสชาติให้อาหาร นอกจากนี้ยังประกอบด้วยสารบีตา-แคโรทีน และแร่ธาตุหลายชนิด เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เป็นต้น

ฟักทอง มีกากใยสูง อุดมด้วยวิตามินเอและสารต่อต้านการผสมกับออกซิเจนกับเกลือแร่ และมี “กรดโปรไพโอนิค” กรดนี้ทำให้ทำให้เซลล์มะเร็งให้อ่อนแอลง[6] ในเนื้อฟักทองมีสารเบต้าแคโรทีน

สะระแหน่ สามารถนำไปทำเป็นยาปฏิชีวนะและยังใช้เป็นตัวขับไล่อนุมูลอิสระออกจากร่างกาย อีกทั้งยังใช้เป็นยาเย็นและใช้เป็นยาคลายความเครียด และมีงานวิจัยอย่างน้อยชิ้นหนึ่งระบุว่ามันช่วยคลายความกดดันของกล้ามเนื้ออันมาจากความเหนื่อยล้าและความเครียด สะระแหน่ยังใช้ไปทำน้ำมันหอมระเหยเพื่อใช้ในการทำสุคนธบำบัด อีกทั้งยังใช้เป็นยารักษาโรคเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์

ผักหวาน ผักหวานเป็นผัก ที่ใช้ปรุงเป็นอาหารได้หลายชนิด และยังเป็นพืชสมุนไพร มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เป็นแหล่งของโปรตีน วิตามินซี (vitamin C) เบต้าแคโรทีนซึ่งช่วยในการมองเห็น บำรุงสายตา และมีสรรพคุณเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) มี แคลเซียม และ ฟอสฟอรัสสูง ช่วย บำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรงและ ใยอาหาร ช่วยในการขับถ่าย

พริกไทยดำ  มีสรรพคุณใช้เป็นยาช่วยย่อยอาหาร ย่อยพิษตกค้างที่ไม่สามารถย่อยได้ ขับเสมหะ บำรุงธาตุ แก้ท้องอืด แก้ปวดท้อง ขับเหงื่อ ขับปัสสาวะ แก้ลมอัมพฤกษ์และระดูขาว ในเมล็ดพริกไทยมีสารไปเปอรีน และสารฟินอลิกส์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีสรรพคุณช่วยป้องกันมะเร็ง มีฤทธิ์กระตุ้นประสาท และแก้โรคลมชักหรือลมบ้าหมูได้

วันพุธที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เชื้อราที่เล็บ พลู สมุนไพรไทยช่วยได้

เล็บมือ และเล็บเท้าแม้จะเป็นส่วนเล็ก ๆ ของร่างกาย แต่ก็มีความสำคัญไม่น้อยเลยทีเดียว เล็บมือ และเล็บเท้าที่สวยและดูมีสุขภาพย่อมช่วยส่งเสริมบุคลิกภาพที่ดีให้แก่ผู้นั้น สามารถเปิดเผยเล็บมือและเล็บเท้าได้อย่างมั่นใจ ไม่ต้องปกปิดซ่อนเร้นเหมือนกับหลาย ๆ คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับเล็บมือ และเล็บเท้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคเชื้อราที่เล็บมือ และเล็บเท้า ซึ่งมีคนจำนวนไม่น้อยที่เจอปัญหานี้ โดยเฉพาะแม่บ้านที่ต้องทำงานบ้านตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการซักผ้า ล้างจาน ล้างห้องน้ำ ซึ่งเล็บมือและเล็บเท้าต้องเปียกชื้นอยู่ตลอดเวลา และเมื่อนานวันเข้าก็จะก่อให้เกิดแบคทีเรียสะสมจนเกิดเป็นเชื้อราที่เล็บมือ และเล็บเท้า เชื้อราที่เกิดที่เล็บมือและเล็บเท้า โดยทั่วไปจะสังเกตุเห็นเป็นจุดเหลือง ๆ เล็ก ๆ ที่มุมเล็บมือหรือเล็บเท้าด้านใดด้านหนึ่งก่อน แล้วจะขยายลุกลามกว้างออกไปเรื่อย ๆ โดยที่ช่องว่างระหว่างเนื้อและเล็บก็จะถ่างออกเรื่อย ๆ ซึ่งจะทำให้แบคทีเรียเข้าไปสะสมมากยิ่งขึ้น ซึ่งถ้าไม่รีบรักษาอาจจะสูญเสียเล็บโดยถาวรไปเลยก็ได้

แต่เชื่อหรือไม่ว่าเราสามารถใช้สมุนไพรไทยที่หาได้ง่าย ๆ โดยทั่วไปอย่าง "พลู" ที่ใช้กินกับหมากนี่แหละสามารถใช้รักษาโรคเชื้อราที่เล็บมือและเล็บเท้าได้ชงัดทีเดียว เพราะในใบพลูมีสารยูจีนอลและชาวิคอลซึ่งมีฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดเชื้อราที่เล็บมือและเล็บเท้า โดยวิธีใช้ก็คือ ให้นำใบพลูมาตำให้แหลกแล้วนำมาพอกที่เล็บมือและเล็บเท้าที่มีปัญหา แล้วใช้ผ้าพันเอาไว้ป้องกันเลอะเทอะและหลุดออก แนะนำให้พอกก่อนเข้านอนเพราะเป็นช่วงที่ไม่ได้ใช้มือหรือเท้าทำกิจกรรมอะไรอีกจะได้ผลดีกว่า

นี่ล่ะคุณประโยชน์ของสมุนไพรไทยที่หาได้ง่าย ๆ โดยทั่วไป และเรามองข้ามไป ท่านที่กำลังประสบปัญหาเชื้อราที่เล็บมือหรือเล็บเท้าอยู่ลองนำวิธีที่เรียบง่ายนี้ไปใช้ดูเพื่อจะได้เปิดเผยเล็บมือและเล็บเท้าที่สวย และสุขภาพดีได้อย่างมั่นใจอีกครั้ง

วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

โรคลำไส้แปรปรวน (IBS) อันตรายใกล้ตัว



เคยรู้สึกไหมว่ามีลมในกระเพาะมาก และเป็นคนเครียดจัดหรือไม่ ระวังจะเป็นโรคลำไส้แปรปรวน
เคยรู้สึกเหมือนมีลมอยู่ในท้อง ต้องเรอหรือผายลมบ่อยๆ มีอาการท้องเสียสลับท้องผูกกันบ้างหรือเปล่าคะ อาการมากมายจนสับสนไปหมดไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันแน่ ดังนั้นมาหาคำตอบเพื่อไขข้อข้องใจ พร้อมกับรับมือกับอาการแปรปรวนเหล่านี้กันค่ะ

โรคลำไส้แปรปรวน คืออะไร

นพ.ณัฏ ฐากร วิริยานุภาพ แพทย์อายุรกรรมโรคระบบทางเดินอาหารและตับ ได้ให้ความรู้ว่า โรคลำไส้แปรปรวน (IBS) คือ โรคของลำไส้ที่บีบตัวผิดปกติ โดยตรวจไม่พบก้อนเนื้องอกด้วยการส่องกล้องตรวจลำไส้ จึงลงความเห็นว่าเป็นโรคลำไส้แปรปรวน ซึ่งเป็นโรคที่พบบ่อยในระบบทางเดินอาหาร และพบมากในคนวัยทำงานที่มีอายุ 30-50 ปี ซึ่งในปัจจุบันขยายผลไปยังกลุ่มวัยรุ่นเพิ่มขึ้น

เช็คอาการเตือนจากร่างกายด้วยตัวเอง

การ สังเกตความผิดปกติในเรื่องระบบขับถ่ายของตัวเราเอง เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้รู้ว่าระบบภายในร่างกายมีความผิดปกติหรือ เปล่า อย่างโรคลำไส้แปรปรวน จะมีสัญญาณเตือนออกมาในรูปแบบของระบบการขับถ่ายที่ผิดปกติ และมักมีอาการเด่นชัด ดังนี้

มีอาการปวดท้อง โดยอาจจะปวดบริเวณกลางท้อง หรือปวดบริเวณท้องน้อย แต่โดยทั่วไปจะปวดท้องน้อยด้านซ้าย ลักษณะอาการปวดมักจะปวดแบบเกร็ง

มีอาการแน่นท้อง ท้องอืด

มีอาการท้องโตขึ้น เหมือนมีลมอยู่ในท้อง อาจมีอาการเรอหรือผายลมบ่อย

มีอาการถ่ายผิดปกติ เช่น ท้องผูก ท้องเสีย หรืออาจมีท้องผูกสลับท้องเสีย บางรายอาจมีความรู้สึกเหมือนถ่ายไม่สุด

การขับถ่ายอุจจาระมีลักษณะเหลว หรือเป็นมูกร่วมด้วย แต่จะไม่มีเลือด อาการมักจะเป็นๆ หายๆ มากน้อยสลับกันและมีอาการเกิน 3 เดือน

รู้ทันสาเหตุ ห่างไกลโรคลำไส้แปรปรวน

การ ป้องกันตนเองให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บอย่างหนึ่งคือ การรู้เท่าทันต้นตอสาเหตุของโรค หากเรารู้จุดเริ่มต้นของโรคนี้ว่าเกิดจากอะไรก็จะได้ไม่ต้องเผชิญกับเส้นทาง เดียวกับโรคนี้ และเป็นหนทางที่จะทำให้รับมือกับโรคภัยที่จะเกิดขึ้นกับตัวเราเองได้ดีที่ สุด ถึงแม้ปัจจุบันจะยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอนของการเกิดโรค แต่จากการศึกษาพบว่าปัจจัยที่เป็นสาเหตุของโรคนี้มี 3 อย่างได้แก่

1.เกิด จากการบีบตัวของลำไส้ผิดปกติ เป็นผลมาจากการหลั่งสารหรือฮอร์โมนที่ผิดปกติบางอย่างในผนังลำไส้ ทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องผูก หรือท้องเสียขึ้นได้

2.เกิดจากระบบ ประสาทที่ผนังลำไส้ไวต่อสิ่งเร้า หรือตัวกระตุ้นมากผิดปกติ ตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการผิดปกติ ได้แก่ อาหารที่มีรสเผ็ด เปรี้ยว กาแฟ แอลกอฮอล์ ช็อกโกแลต รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ ได้แก่ ความเครียด ความวิตกกังวลเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดการบีบตัวของลำไส้ผิดปกติ ทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องผูกหรือท้องเสียได้

3.เกิดจากความผิดปกติ ในการควบคุมการทำงานของลำไส้ โดยปกติแล้วประสาทรับความรู้สึกที่ผนังลำไส้ ระบบกล้ามเนื้อของลำไส้ และสมอง จะทำงานสอดคล้องกัน แต่หากสารที่ควบคุมการทำงานของลำไส้เกิดความผิดปกติก็จะส่งผลให้การทำงานของ ลำไส้แปรปรวนได้

2 แนวไส้แปรปรวนทาง รับมือโรคลำ

หาก ใครที่กำลังเผชิญกับสภาวะลำไส้แปรปรวนไม่ควรกังวล แต่จะต้องกล้าเผชิญพร้อมรับมือ และจัดการกับโรคที่กำลังสร้างความรำคาญให้ชีวิตอยู่นั้นให้ได้ ด้วยการรักษาที่ถูกต้อง และหมั่นดูแลร่างกาย จิตใจให้ผ่อนคลายอยู่เสมอ โดยวิธีการที่จะควบคุมกับโรคนี้มีดังนี้

วิธีแรกคือ การกินยา (ตามคำแนะนำของแพทย์) โดยยาที่ใช้รักษาจะเป็นยาที่รักษาตามอาการ เพราะยังไม่มียาชนิดใดที่รักษาโรคนี้ให้หายขาดได้ เช่น กลุ่มคนที่มีอาการปวดท้อง อาจจะกินยาที่ช่วยคลายการบีบตัวของลำไส้ ลดอาการปวดเกร็ง กลุ่มคนที่มีอาการท้องอืด มีลมในท้อง อาจจะกินยาลดแก๊สในกระเพาะ หรือยาขับลม ส่วนกลุ่มคนที่มีอาการท้องผูก อาจจะกินยาที่ช่วยเพิ่มไฟเบอร์ หรือยาระบายอ่อนๆ ซึ่งการรักษาจะต้องรักษาตามอาการเพราะยังไม่มียาชนิดใดที่สามารถรักษาครอบ คลุมอาการทุกอย่างได้

นอกจากการรักษาด้วยยาแล้ว วิธีที่สำคัญอีกอย่างที่จะช่วยป้องกันการเกิดโรคคือ การปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง เพราะโรคนี้มีโอกาสเป็นๆ หายๆ และส่วนใหญ่จะมีอาการที่เป็นมานานแล้ว ไม่ได้เป็นแค่ระยะเวลาสั้นๆ ดังนั้นคนที่มีอาการส่วนใหญ่มักจะพฤติกรรมการกินที่ไม่ถูกต้อง

ตามใจปาก โรคลำไส้แปรปรวนถามหา

เคย ได้ยินกันบ้างไหมว่า กินอะไรร่างกายก็ได้อย่างนั้น ดังนั้นการปฏิบัติตัวในเรื่องการกินจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด หากกินผิดไม่ใช่แค่โรคลำไส้แปรปรวนเท่านั้น ยังก่อให้เกิดโรคร้ายอื่นๆ ตามมาเพราะการกินนั่นเอง

แยกแยะอาการยาก รบกวนการดำเนินชีวิต

ลักษณะ อาการของโรคลำไส้แปรปรวนจะคล้ายคลึงกับอาการท้องเสียจึงมักแยกแยะลำบาก ทำให้บางครั้งเกิดการปล่อยปละละเลย ไม่ไปพบแพทย์เพราะคิดว่าท้องเสียกินยาเอง นอนพักผ่อนเดี๋ยวก็หาย แต่ผลกลับกัน บางรายอาจจะมีอาการเป็นๆ หายๆ และเป็นมานาน ทำให้สร้างความรำคาญและทุกข์ทรมานใจจนเกิดความวิตกกังวลว่า ทำไมไม่หายสักที ผลที่ตามมาคือเป็นโรคเครียด ซึ่งโรคเครียดนี่แหละที่เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้โรคลำไส้แปรปรวน กำเริบขึ้นมาอีก

ความเครียด ตัวอันตรายทำให้เกิดโรคลำไส้แปรปรวน

ความ เครียดเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลทำให้โรคลำไส้แปรปรวนแสดงอาการรุนแรงมากขึ้น เพราะเมื่อเครียดสมองจะมีการหลั่งสารบางอย่างออกมาส่งผลให้ลำไส้แปรปรวน ยิ่งในยุคปัจจุบัน ทั้งสภาพเศรษฐกิจและสภาพแวดล้อมยังเป็นตัวกระตุ้นให้คนเกิดความเครียดมาก ขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีชีวิตประจำวันที่เครียด ทำงานดึก พักผ่อนน้อย วันหนึ่งนอนไม่กี่ชั่วโมง และใช้สมองในการคิดการทำงานค่อนข้างมาก ยิ่งถ้าเป็นคนที่มีบุคลิกค่อนข้างขี้โกรธ หงุดหงิดง่าย และไม่ได้ออกกำลังกายจะเกิดโรคลำไส้แปรปรวนได้ง่ายมากขึ้น

นอกจากนี้ จากสถิติแล้วคนที่มีอาการเรื้อรัง เป็นๆ หายๆ รักษาไม่หายสักที มักพบว่าต้นเหตุลำดับต้นๆ ที่ทำให้เกิดโรคของเขามาจากความเครียดด้วยกันทั้งนั้น ยิ่งรักษาไม่หายก็ยิ่งเพิ่มความกังวลกลัวว่าจะเป็นอย่างอื่นร้ายแรง เช่น โรคมะเร็ง ซึ่งต้องบอกไว้เลยว่าโดยธรรมชาติของโรคนี้ไม่เปลี่ยนไปเป็นมะเร็ง ดังนั้นหากพบอาการของโรคเกิดขึ้นกับตนเองแนะนำว่าควรจะมาพบแพทย์ เพื่อทำการตรวจและรักษาให้เหมาะสมต่อไป

นักบัญชี หรือทำงานด้านการเงินเสี่ยงเกิดโรคลำไส้แปรปรวน

ใน ยุคภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ทำให้คนเกิดความเครียดเพิ่มมากขึ้น และคนไข้ที่มาพบแพทย์ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่ทำงานในเรื่องของการเงิน เช่น นักบัญชี ทำงานธนาคาร หรือกลุ่มที่รับผิดชอบเรื่องเงิน อาจเพราะต้องคอยแบกรับและต้องรับผิดชอบเรื่องเงิน จึงทำให้เกิดความเครียดได้ง่าย ดังนั้นในการรักษาจะทำการแนะนำคนไข้ว่าต้องมีการแบ่งเวลาในการทำงานและพัก ผ่อนให้เพียงพอ

ทำไมถึงพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

โรคลำ ไส้แปรปรวนมักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ในอัตราส่วนประมาณ 2:1 ซึ่งอาจเป็นเพราะว่า ผู้หญิงมีความวิตกกังวลสูงกว่าผู้ชาย เพราะว่าโรคนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับอารมณ์ ความเครียด ความวิตกกังวลอารมณ์ ผู้หญิงจะไวต่อสิ่งแวดล้อม ต่อสิ่งเร้าที่เข้ามา ผู้หญิงจะเครียดมากอาจจะเก็บอารมณ์ไว้กับตัวเอง ไม่เล่าให้ใครฟัง ก็เกิดเป็นภาวะเครียดสะสมทำให้คนกลุ่มนี้มีโอกาสเป็นโรคลำไส้แปรปรวนมากกว่า

วิธีเอาชนะความเครียด

สิ่ง ที่เข้ามาช่วยบรรเทาความเครียดอีกหนึ่งอย่างคือ การนั่งสมาธิ การรู้เท่าทันอารมณ์ เป็นเรื่องของสติ ของจิตใจ เพราะถ้าเรารู้เท่าทันอารมณ์ของเรา ความเครียดทั้งหลายก็จะเบาลง หยุดลงแค่นั้น ไม่ปล่อยให้มันดำเนินต่อ ซึ่งเป็นวิธีการที่จะช่วยลดอาการต่างๆ ลงได้ นอกจากนี้ควรออกกำลังกายจะช่วยทำให้ร่างกายได้มีการพักผ่อน ผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ตึงเครียด ส่งผลให้จิตใจผ่อนคลายตามไปด้วย

เมื่อ รู้ต้นสายปลายเหตุของการเกิดโรคลำไส้แปรปรวน และพร้อมรับมือกับโรคร้ายที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเราแล้ว รับรองว่าโรคจะหายไปโดยเร็ว และไม่กลับมาสร้างความรำคาญให้กับชีวิตอีก


ที่มา หนังสือสุขภาพดี 


ขอบคุณข้อมูลจาก hunsa.com


วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ดื่มน้ำตะไคร้ห่างไกลโรค





น้ำตะไคร้ให้คุณค่าทางสารอาหารมากทีเดียว เช่น วิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา แคลเซียม-ฟอสฟอรัส บำรุงกระดูกและฟัน ส่วนคุณค่าทางยา ช่วยแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด ขับปัสสาวะ ขับเหงื่อได้ดี

น้ำตะไคร้ อาจไม่ใช่ตัวเลือกต้น ๆ ของหนุ่มสาวสมัยนี้ เวลากระหายน้ำ บ้างก็ว่าเหม็น บ้างก็ว่าดื่มยาก แต่รู้ไว้เถอะว่า ช่วยลดพิษของสารแปลกปลอมในร่างกาย ขับลมในลำไส้ทำให้เจริญอาหาร บำรุงสมองช่วยให้สมาธิดี รวมทั้งช่วยลดความดันโลหิต 

สำหรับคอเหล้า นำตะไคร้ไปต้มกับน้ำใช้ดื่มแก้อาเจียน ใช้ต้นสดโขลกคั้นเอาน้ำดื่มแก้อาการเมา ในกรณีที่เมามาก ๆ วิธี้นี้ช่วยให้สร่างเมาเร็วขึ้น 

มาถึงเมนูสุขภาพศุกร์นี้ กินดี ขอเสนอ น้ำตะไคร้หอม เพื่อสุขภาพ ใช้ส่วนผสมเพียง 3 อย่าง ได้แก่ 

ตะไคร้ 20 กรัม หรือ 1 ต้น 
น้ำเชื่อม 15 กรัม หรือ 1 ช้อนคาว 
น้ำเปล่า 240 กรัม หรือ 16 ช้อนคาว 

วิธีทำ 
นำตะไคร้มาล้างให้สะอาด หั่นเป็นท่อน ทุบให้แตก ใส่หม้อต้มกับน้ำให้เดือดกระทั่งน้ำตะไคร้ออกมาปนกับน้ำจนเป็นสีเขียว สักครู่จึงยกลง กรองเอาตะไคร้ออก เติมน้ำเชื่อมชิมรสตามชอบ 

เพิ่มรสชาด และคุณค่าทาางอาหารให้ตะไคร้ ขอแนะนำอีกเมนู น้ำตะไคร้ใบเตย

วิธีทำ น้ำตะไคร้ใบเตย การทํา น้ําตะไคร้ใบเตย
เครื่องปรุง
ตะไคร้ 2 ต้น
ใบเตย 3 ใบ
น้ำ 1-2 ลิตร
น้ำตาลแดง 2 ช้อนชา (อาจจะไม่ใส่ก็ได้)

ขั้นตอนการทำ
1. ทุบตะไคร้ ให้แหลกพอประมาณ ใช้ใบเตยมัดตะไคร้ไว้ให้เป็นก้อน
2. ใส่ตะไคร้และใบเตยในหม้อ ถ้าต้มใส่ในกระติกน้ำร้อนไฟฟ้าได้เลย จะดีมาก สะดวกในการดื่ม
3. เติมน้ำ 1 ถึง 2 ลิตร 
4. ต้มให้เดือดพร้อมกัน ทิ้งให้เดือนสัก 5 นาที

     ตะไคร้และใบเตยชุดเดียวกัน สามารถเติมน้ำต้มใหม่ได้ 2-3 รอบ แต่รสชาดจะจืดจางลงบ้าง ดื่มแทนน้ำ สดชื่น บำรุงหัวใจดีนักแล แต่อย่าต้มแบบเติมน้ำข้ามวันนะครับ เพราะใบเตยและตะไคร้จะเสีย ทำให้น้ำรสชาดเสียไปเลย

Credit หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ http://www.dailynews.co.th

วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ล้างพิษ (ดีท็อกซ์) ง่าย ๆ ด้วยมะนาว




มะนาว..ล้างพิษ ลดสิว...ลดน้ำหนัก

ดื่มน้ำมะนาวกับน้ำอุ่นทุกๆ เช้า มีประโยชน์....
...ล้างพิษ ลดสิว...ลดน้ำหนัก...

ดื่มน้ำมะนาวเพื่อรักษาสิว วิธีการนี้ใช้เวลา 2 สัปดาห์เป็นอย่างต่ำจึงจะเห็นผล
สามารถใช้วิธีการดื่มน้ำมะนาวเพื่อรักษาและทำความสะอาดภายในร่างกาย หรือขจัดสารพิษออกจากตับ และเพื่อให้การดูดซึมแร่ธาตุและวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย น้ำมะนาวนั้นเป็นเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายและผิวพรรณ ที่ช่วยให้กระชุ่มกระชวย ดื่มง่าย และทำได้ง่าย

ความจริงแล้วการรักษาสิวด้วยการดื่มน้ำมะนาวนั้นมีประโยชน์หลายอย่าง ที่ทุกคนควรดื่ม (สำหรับคนที่ไม่แพ้มะนาว) ประโยชน์ต่าง ๆ เหล่านั้นคือ :

-ขจัดกรดต่าง ๆ ที่ตกค้างออกไป เพราะน้ำมะนาวมีแร่ธาตุต่าง ๆ (วิตามินซี, โพแทสเซียม)

-บรรเทาอาการท้องผูก

-ทำความสะอาดตับด้วยกรดซิตริก และสร้างเอนไซม์เพื่อขจัดสารพิษในเลือด

-ช่วยกระบวนการย่อยอาหาร

-กำจัดนิ่วในไต และตับอ่อน

การรักษาสิวโดยการดื่มน้ำมะนาว สูตร 1

1.บีบน้ำมะนาว 1 ผลลงในแก้ว

2.เติมน้ำเปล่า 2 ถ้วย (ถ้วยละ 8 ออนซ์)

3.ดื่มน้ำมะนาวที่ผสมนี้ได้ทั้งวัน

การรักษาสิวโดยการดื่มน้ำมะนาว สูตร 2

1.บีบน้ำมะนาว 1 ผล ผสมกับน้ำอุ่นที่ต้มแล้ว 1 ถ้วย (8 ออนซ์)

2.ดื่มเป็นสิ่งแรกของวัน ในตอนเช้า

3.หลังจากดื่มน้ำมะนาว งดการดื่ม หรือรับประทานสิ่งใด ๆ ภายในครึ่งชั่วโมง เพื่อให้น้ำมะนาวได้ชำระล้างร่างกายสิว สิว สิว ทำไงให้ไปพ้นๆจากเรา

ดื่มน้ำอุ่นผสมน้ำมะนาวเข้าไปกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัว เพื่อให้สารพิษถูกดันออกมากับอุจจาระ หลังจากที่ดื่มน้ำอุ่นแล้วคุณจะรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำทันที

มันเป็นการ detox ความจริง กินแค่น้ำเปล่า หรือ น้ำอุ่น ใน ตอนเช้า ก็ได้ค่ะ เหมือนเป็นการ ล้างลำใส้ แต่ มะนาวเนี่ย มันจะมีค่า PH ที่เป็นกรด ที่ทำให้ลำไส้ทำงานได้ดี

หรือแบบง่ายๆ น้ำอุ่น(ไม่ต้องถึงกับร้อน) 500 ml ,น้ำมะนาว 2 ช้อนช้าโดยประมาณ..

เพื่อกระตุ้นระบบย่อยอาหารให้ทำงานดียิ่งขึ้น มะนาวเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีมากที่สุด ไม่พียงแต่จะดีสำหรับช่วยลดไข้ ได้ แต่มันยังมีผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยแอริโซนา แนะนำมาว่า ใครที่กินผลไม้และผักที่มีวิตามินซีในปริมาณที่มาก จะมีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหาร และจะช่วยให้น้ำหนักลดได้ดีกว่าวิธีอื่นๆ อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น น้ำมะนาวยัง ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมให้กักเก็บเอาไว้ในเซลล์ไขมัน ผลวิจัยยังแสดงอีกว่า แคลเซียมที่มีอยู่ในเซลล์ไขมันปริมาณมากๆ จะช่วยเผาผลาญไขมันได้ดียิ่งขึ้น

คนเป็นโรคกระเพาะไม่แนะนำให้ดื่มนะคะ.

เขียนโดย