วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2555

กินอย่างไร...จึงจะเลี่ยงภัยจากโรคร้าย

โรคกระดูกพรุน คือ ภาวะพร่องของแร่ธาตุในกระดูก ทั้งด้านความหนาแน่น ปริมาณ และความแข็งแรง ภาวะดังกล่าวนี้จะทำให้กระดูกบางลงเพิ่มความสี่ยงที่กระดูกจะหัก

ประมาณกันว่ามีชาวอเมริกันถึง 20 ล้านคน โดยเฉพาะผู้หญิงวัยทองเป็นโรคนี้หรือเสี่ยงต่อโรคนี้ แม้ว่ากระบวนการเสริมสร้างกระดูกที่แข็งแรงอาจต้องใช้เวลาตลอดทั้งชีวิต แต่ช่วงที่เสี่ยงต่อโรคนี้ส่วนใหญ่คือวัยผู้ใหญ่ตอนปลาย อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ในระยะแรกอาการของโรคแทบจะไม่ปรากฏ แต่กระนั้นโรคนี้ก็ร้ายแรงถึงขนาดที่ว่าสามารถทำให้กระดูกสันหลังหรือสะโพกแตกร้าว ซึ่งน้อยคนนักที่รอดชีวิตมาได้หากอาการลุกลามไปถึงขั้นนั้น

การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ สามารถช่วยให้เราป้องกันหรือชะลอการบุกรุกของโรคนี้ได้ โดยบริโภคอาหารเหล่านี้เป็นประจำ
     

    ผลไม้และผักใบเขียวที่ปลูกแบบปลอดสารพิษ
     

    ผลิตภัณฑ์นม (ถ้าคุณแพ้นม หรือรับประทานนมไม่ได้ ให้ดื่มนมถั่วเหลืองเสริมวิตามิน D แทน)
     

    กุ้ง, ปลาคอด
     

    เต้าหู้ หรือผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองอื่นๆ
     

    ปลาทะเล
     

    แอปเปิ้ล
     

    หลีกเลี่ยง กาแฟ น้ำอัดลม น้ำตาลฟอกขาว เนื้อสัตว์ และเกลือ

โรคหอบหืด คือ ภาวะที่ช่องทางสำหรับลำเลียงอากาศเข้าสู่ปอดไม่ปกติ อาการจะเกิดขึ้นเมื่อเซลล์กล้ามเนื้อที่อ่อนนุ่มล้มเหลวในการขนถ่ายอากาศ จนเส้นทางดังกล่าวปิดในที่สุด จึงยากที่อากาศจะเข้าหรือออกจากปอด นำไปสู่อาการหายใจขัดหรือหายใจลำบาก ถ้าอาการเหล่านี้ดำเนินต่อไปเป็นเวลาชั่วระยะหนึ่ง อาจทำให้ผู้ป่วยหมดสติหรือเสียชีวิตจากการขาดอากาศหายในได้

แม้ว่าผู้ป่วยด้วยโรคนี้จะมีช่วงเวลาที่ไม่ปรากฏอาการ แต่พวกเขาก็ต้องใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัวว่า อาการอาจจะกำเริบขึ้นมาในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง โชคดีที่อย่างน้อยก็ยังมีอาหารจำพวกหนึ่งที่ช่วยลดการปะทุของโรค และบรรเทาอาการที่เกิดจากสภาวะอ่อนเพลียนี้ สิ่งที่ควรรับประทานได้แก่
     

    ผักและผลไม้ปลอดสารพิษ
     

    ปลาทะเล เช่น ปลาคอด แซลมอน แมคเคอเรล แฮริ่ง
     

    น้ำมันมะกอก
     

    โรสแมรี่ ขิง
     

    ลดการบริโภคนมและผลิตภัณฑ์จากนม ซึ่งเป็นตัวเพิ่มความรุนแรงของอาการหอบหืด

โรคมะเร็งลำไส้ สามารถเกิดขึ้นที่ส่วนใดก็ได้ของลำไส้ ไม่ว่าจะเป็นลำไส้เล็กหรือลำไส้ใหญ่ มะเร็งลำไส้ก่อตัวขึ้นเมื่อเซลล์ของลำไส้สัมผัสกับสารเคมีหรือสารก่อมะเร็งจน DNA ของเซลล์ถูกทำลาย ซึ่งนำไปสู่การผ่าเหล่า (mutation) ในเซลล์ และเซลล์เหล่านี้จะแบ่งตัวอย่างปราศจากการควบคุมและกระจายไปทั่วร่างกาย จนอวัยวะเสียหายและถึงแก่ชีวิตในที่สุด แม้ว่าพันธุกรรมจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคนี้ แต่นักวิจัยเชื่อว่า 90% มีสาเหตุมาจากการรับประทานอาหารของแต่ละคน ดังนั้น วิธีป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ที่ดีที่สุด คือ รับประทานอาหารให้เหมาะสม ซึ่งมีดังต่อไปนี้
     

    ผักและผลไม้ที่ปลูกแบบออร์แกนิค โดยเฉพาะ แอปเปิ้ล แครนเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่
     

    น้ำมันมะกอก
     

    แป้งไม่ขัดขาวเพื่อเพิ่มเส้นใย
     

    ปลาทะเล เช่น แซลมอน ทูน่า แฮริ่ง แมคเคอเรล เพื่อเพิ่มกรดไขมัน โอเม้า-3
     

    หัวหอม กระเทียม ต้นหอม ขมิ้น ขิง
     

    โยเกิร์ต
     

    บร็อคโคลี่ กะหล่ำปลี
     

    ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง
     

    ส้ม มะนาว หรือผลไม้รสเปรี้ยว
     

    หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ กรดไขมันโอเมก้า-6 ไขมันอิ่มตัว น้ำตาลฟอกขาว และแอลกอฮอล์
   
                 
  ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล : นิตยสาร Alternative Medicine

วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2555

รับประทานหวานได้ ไม่ทำร้ายสุขภาพ

จากการวิจัยและศึกษาเรื่องพฤติกรรม การรับประทานอาหารและน้ำของคนไทยล่าสุด จากมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) พบว่าคนไทยติดรับประทานหวานมากขึ้น เฉลี่ยรับประทานน้ำตาลกว่า 29 กิโลกรัม/ ปี หรือ 18 ช้อนชา/วัน ทำให้เกิดโรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือดสูง มากขึ้นกว่า 30%! ทำให้น่าสังเกตว่า วันหนึ่งเราเติมน้ำตาลลงเครื่องดื่มหรืออาหารกี่ช้อนชา? ปกติคนทั่วไปควรได้รับน้ำตาลไม่เกินวันละ 4-8 ช้อนชา ยิ่งถ้าเป็นเด็กวัยเรียน ผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุไม่ควรเกินวันละ 3 ช้อนชา แต่จะให้งดก็คงทำยากอยู่... เมื่อเป็นแบบนี้สารพัดน้ำตาลที่รับประทานทุกวัน มีชนิดใดบ้างที่เลือกทานแล้ว ยังให้ประโยชน์ต่อร่างกายชนิดที่เรียกว่า “เติมหวานได้แต่ไม่ทำร้ายสุขภาพ” เราลองมาทำความรู้จักคุณค่าน้ำตาลและความหวานกัน

น้ำตาลทราย

แม้น้ำตาลทรายขาวและน้ำตาลทรายแดงให้รสชาติหวานเหมือนกัน คือ 1 กรัม ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี หรือเทียบง่ายๆ 1 ช้อนชา ให้พลังงานประมาณ 19 กิโลแคลอรี แต่ให้คุณค่าทางอาหารต่างกัน
     

    น้ำตาลทรายขาว ได้มาจากอ้อยแล้วผ่านกรรมวิธีการผลิต ตกผลึกให้เป็นเกล็ดและผ่านการฟอกสี ดังนั้นวิตามินแทบจะไม่หลงเหลืออยู่เลย
     

    น้ำตาลทรายแดง ยังรักษาคุณค่าทางวิตามินได้ดีกว่าน้ำตาลทรายขาว เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก

แต่ดัชนีน้ำตาลของน้ำตาลทรายและน้ำตาลทรายแดงอยู่ที่ 73-75 ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์สูง ไม่เหมาะสำหรับคนที่ควบคุมน้ำหนักหรือเป็นโรคเบาหวาน

ถ้าเทียบพลังงานระหว่างน้ำตาลทรายและน้ำอ้อยในปริมาณที่เท่ากัน น้ำอ้อยมีฟอสฟอรัสและให้พลังงานน้อยกว่าน้ำตาลทรายถึง 5 เท่า เพราะน้ำอ้อยมีส่วนผสมของน้ำอยู่มาก แต่มีปริมาณแคลเซียมน้อยกว่าน้ำตาลทราย

น้ำตาลปี๊ปหรือน้ำตาลปึก

น้ำตาลปี๊บได้มาจากการเคี่ยวน้ำของยอดทลายอ่อนของมะพร้าวจนกระทั่งเหนียว ข้นและหวาน เป็นเครื่องปรุงติดบ้านคู่ใจแม่บ้านชาวไทยทุกครัวเรือน เพราะนอกจากความหวานแล้ว ยังได้ความหอมอร่อยอีกด้วย น้ำตาลปี๊ป 1 ช้อนชา ให้พลังงาน 18 กิโลแคลอรี ยังมีคุณค่าและวิตามินบ้าง เช่นแคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก

นมข้นหวาน

เป็นสารให้ความหวานที่ผลิตมาจากหางนม นำมาเติมน้ำตาลในปริมาณเข้มข้น และดึงไอระเหยจนข้นเหนียว นมข้นหวาน 1 ช้อนชา ให้พลังงาน 20 กิโลแคลอรี ถ้าเทียบในคุณค่าทางโภชนาการ นมข้นหวานให้พลังงานสูงมาก แต่ยังพอมีโปรตีน ไขมัน ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก วิตามินบี 1 บี 2 วิตามินซี และวิตามินเอ มากกว่าน้ำตาลชนิดอื่น แต่ก็ไม่เป็นอาหารหลักอยู่ดี ไม่มีคุณค่าทางอาหารเหมือน “นม” ปกติทั่วไป ไม่ควรให้เด็กรับประทานมากๆ เพราะจะทำให้อ้วนและมีผลต่อสุขภาพฟัน

น้ำตาลเทียม

เป็นสารให้ความหวานที่ได้จากการสังเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ เป็นสารให้ความหวานที่เป็นทางเลือก ของคนที่ควบคุมน้ำหนักหรือเป็นเบาหวาน น้ำตาลเทียมที่ขายทั่วไปคือ แซคคาริน แอสปาเทม ซูคาโลส ซึ่งให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลปกติตั้งแต่ 200-600 เท่า แต่ให้พลังงานต่ำ การใช้น้ำตาลเทียมในอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ จะเป็นอาหารหรือเครื่องดื่มที่บอกว่า “ให้แคลอรี 0” หรือ “ไม่มี น้ำตาล” แต่ยังคงรสหวานได้เหมือนปกติ แต่ก่อนเลือกให้ดูที่ฉลากสักนิด เพราะอาจให้พลังงานหลากหลายตั้งแต่ 0 แคลอรีจนถึง15 แคลอรี/ซอง และสำหรับการปรุงอาหารและเครื่องดื่ม น้ำตาลเทียมบางชนิดสามารถปรุงอาหารขณะร้อนได้ แต่บางชนิดก็ไม่ได้ ต้องยกลงจากเตาก่อน หรือผสมลงในเครื่องดื่มที่ไม่ร้อนจัด มิฉะนั้นความหวานจะหายไป

น้ำผึ้ง

น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ให้พลังงานประมาณ 15 กิโลแคลอรี น้ำผึ้งเป็นสารให้ความหวานต่างจากชนิดอื่นๆ ตรงที่อุดมไปด้วยโปรตีน พลังงาน วิตามินและเกลือแร่ ดัชนีน้ำตาลของน้ำผึ้งอยู่ที่ 55 ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง ดีต่อสุขภาพมากกว่า น้ำตาลทรายขาวหรือน้ำตาลทรายแดง จึงเป็นทางเลือกที่ดีของการปรุงอาหาร หรือเครื่องดื่มของคนที่กำลังลดน้ำหนัก ทั้งนี้ก็ไม่แนะนำให้รับประทานเกินวันละ 6 ช้อนชา มิฉะนั้นอาจเป็นผลร้ายต่อสุขภาพแทน

น้ำเชื่อม

เป็นการใช้น้ำตาลมาเคี่ยวผสมกับน้ำจนกระทั่งใส ส่วนใหญ่คนไทยจะใช้ปรุงอาหารหวานหรือเครื่องดื่มต่างๆ น้ำเชื่อมแต่ละชนิดก็ให้รสหวานเข้มข้นต่างกัน ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ผสม (หวานมากก็ให้พลังงานมากตาม) ส่วนวัตถุดิบที่นำมาทำเป็นน้ำเชื่อมสำเร็จรูปจากต่างประเทศ คุณค่าทางอาหารจะขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่นำมาใช้ เช่น องุ่น เมเปิลหรือแอปเปิล มักจะมีการเติมสารอาหารบางชนิดลงไปเพื่อขยายผลทางการค้านั่นเอง

เมื่อทราบดังนี้แล้ว ต้องกะปริมาณน้ำตาลให้ดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน โรคอ้วนหรือความดันโลหิตสูง ยิ่งต้องระวังและมีเป้าหมายในการรักษาจากการดูแลเรื่องโภชนาการ เพื่อรักษาระดับน้ำตาลให้ใกล้เคียงปกติเท่าที่จะทำได้ รักษาระดับไขมันในเลือดให้เหมาะสม รักษาน้ำหนักตัวและป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่างๆ พร้อมออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อชีวิตที่มีความสุข

 แหล่งน้ำตาลมีทั้งที่มาจากพืชและสัตว์ แหล่งน้ำตาลของพืชจะเป็นพืชที่มีหัว ซึ่งปริมาณน้ำตาลที่ได้จะแตกต่างกัน นอกจากนี้ยังมีสารอาหารอื่นปนอยู่ด้วยเช่น โปรตีน ไขมัน วิตามิน แร่ธาตุ พืชที่ให้น้ำตาล ได้แก่ ข้าวชนิดต่าง ๆ เผือก มัน ข้าวโพด อ้อย ตาล มะพร้าว ส่วนแหล่งน้ำตาลจากสัตว์ จะเป็นน้ำตาลในนมและไกลโคเจนที่เป็นพลังานสำรองในส่วนกล้ามเนื้อและตับ เทียบกันแล้วความหวานและปริมาณน้ำตาลจากสัตว์จะมีน้อยกว่าพืช

ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล : นิตยสาร HealthToday

วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

สูตรหน้าขาวใสสำหรับสาวผิวมัน

การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีขายตามเคาน์เตอร์ บางครั้งก็อาจมีส่วนผสมของสารเคมีที่รุนแรงต่อผิว และอาจทำให้ผิวมันขาดความสมดุล กลายเป็นต้นเหตุของปัญหาอื่น ๆ ตามมา ทางออกอย่างหนึ่งคือการใช้ทรีทเมนท์จากส่วนผสมธรรมชาติที่หาได้ง่ายในครัวเรือน สำหรับช่วยดูแลผิวมัน และนี่คือวิธีง่าย ๆ

วิธีที่ 1.     ผสมไข่ขาว 1 ฟอง น้ำมะนาว 1 ช้อนชา สะระแหน่ และแตงกวาครึ่งลูก ทาส่วนผสมลงบนใบหน้าทิ้งไว้ 15 นาที ก่อนล้างออก

วิธีที่ 2.     บดมะเขือเทศแล้วทาลงให้ทั่วผิวหน้า มะเขือเทศจะช่วยดูดซับความมันวาวส่วนเกินโดยไม่ทำให้ผิวแห้งตึง

วิธีที่ 3.     ผสมมะเขือเทศ น้ำมะนาว และข้าวโอ๊ตให้เป็นส่วนผสมข้น ๆ ทาลงบนใบหน้าแล้วขัดวนเบา ๆ ก่อนล้างออกด้วยน้ำอุ่น

วิธีที่ 4.     น้ำมันหอมระเหยในตระกูลซิตรัส อย่างเช่น มะนาว เกรปฟรุต หรือส้ม สามารถช่วยแก้ปัญหาผิวมันได้โดยไม่รุนแรง ลองหาโลชั่นที่มีส่วนผสมของพฤกษาสกัดตามธรรมชาติ แล้วเติมน้ำมันซิตรัสสองสามหยดต่อโลชั่นหนึ่งออนซ์ ใช้ในตอนกลางคืนเพื่อช่วยลดความมันวาวของผิว

วิธีที่ 5.     ผสมข้าวโอ๊ตบดกับน้ำมะนาวและน้ำมันมะกอกเพียงเล็กน้อย เพื่อให้เป็นส่วนผสมข้น ๆ ใช้ขัดใบหน้า แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ช่วยกำจัดน้ำมันส่วนเกินออกจากรูขุมขน และช่วยลดสิวเสี้ยน

วิธีที่ 6.     ผสมน้ำมะนาวกับน้ำอุ่นนิด ๆ และน้ำส้มสายชูเล็กน้อย แล้วใช้ก้อนสำลีชุบส่วนผสมเช็ดใบหน้า ปล่อยทิ้งให้แห้งโดยไม่ต้องล้างออกก่อนแต่งหน้าหรือทาครีมบำรุงอื่น ๆ มันจะช่วยลดความมันวาวและอาจช่วยลดเหงื่อที่ออกบนใบหน้าที่อาจทำให้เมคอัพเลอะเลือนจางได้ง่าย

วันเสาร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2555

กฎเหล็ก 5 ข้อเพื่อการลดน้ำหนัก

บางทีการทำอะไรทีละเล็กละน้อย แต่มีวินัย จะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อย่างมาก อย่างเช่นกฎเหล็กการลดน้ำหนัก


กฎเหล็กข้อที่ 1 เลือกเครื่องดื่มบางที่เรามีวินัยกับการเลือกอาหารมื้อหลัก แต่กับเครื่องดื่มตัวดีหลายตัวเป็นตัวร้ายสำหรับสุขภาพเรา คุณดื่มอะไรก็ตาม ลองดูว่ามันหวานหรือไม่ เพราะเครื่องดื่มที่หวานไม่ว่า น้ำอัดลม น้ำผลไม้(ที่บอกว่าไร้น้ำตาล ก็ไม่จริง) สมูทตี้ กาแฟเย็น หรือแม้แต่ชา กาแฟ ที่มีทั้งครีมและน้ำตาล
ล้วนเป็นแหล่งพลังงานส่วนเกินที่คุณใส่เข้าไปโดยประมาท เครื่องดื่มตลอดวันที่ไร้คุณภาพเป็นตัวการที่ทำให้ร่างกายคุณไม่ได้อย่างใจ

กฎเหล็กข้อที่ 2 ดื่มน้ำเปล่ามาก ๆการเลือกดื่มน้ำเปล่าเป็นการตัดโอกาสไม่ให้เราไปดื่มเครื่องดื่มที่มีพลังงานสูง ๆ โอกาสที่จะได้รับน้ำตาลส่วนเกินก็น้อยลง
การดื่มน้ำเปล่าทำให้เซลล์ในร่างกายไม่แห้ง กระบวนการเผาผลาญ Metabolism ในร่างกายก็จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เผาผลาญมาก ร่างกายก็ไม่เหลือส่วนเกินให้เรากลุ้มใจ

กฎเหล็กข้อที่ 3 กินอาหารให้ครบมื้อ
ขอให้ลบออกจากหน่วยความจำที่ว่าการอดอาหารเป็นการลดน้ำหนัก การไม่กินอาหารตามมื้อ
ตามเวลาที่ควรกิน ทำให้ร่างกายลดการเผาผลาญลง การเผาผลาญที่ต่ำลง เมื่อเรากินเข้าไปตามปกติร่างกายก็ใช้ไม่หมด
อาหารเช้า จำเป็นมาก ยิ่งกินยิ่งเพิ่ม เมตาโบลิซึมแต่เช้า เราจะสดชื่นไปทั้งวัน ไม่จำเป็นต้องเป็นมื้อที่ยุ่งยาก ขนมปังและผลไม้ ก็เป็นมื้อที่รวดเร็วได้
ควรกินสม่ำเสมอเฉลี่ย 3 -4 ชั่วโมงมื้อเล็ก จะดีกว่าอดบางมื้อแล้วกินแบบพายุ ร่างกายจะสับสนไปหมด

กฎเหล็กข้อที่ 4 วางแผนการกิน
เรามักเลือกอร่อยมาก่อนประโยชน์ ฉะนั้นควรมีข้อกำหนดในใจอยู่เสมอว่าวันนี้จะเลือกกินอะไรที่เป็นประโยชน์ วันนี้จะเดินทางไปที่ไหน ควรเลือกอะไรที่ดีต่อร่างกาย ไม่ใช่เพื่อนพาแห่ไปไหนก็ไปกับเขาได้ทุกครั้งทุกมื้อ
ลองเป็นคนนำเพื่อนไปร้านที่เราเลือกบ้าง หรือเลือกเมนูที่แตกต่างให้เพื่อนได้เห็น ช่วงแรกอาจต้องฝืนบ้าง แต่หุ่นสวยของคุณจะชวนเขาตามมาเอง

กฎเหล็กข้อที่ 5 ไม่กินจุบจิบมื้อดึก
ตลอดทั้งวันถ้าเราสามารถทำได้ดีทั้งสี่ข้อที่ผ่านมาแต่มาเบรกแตกในข้อสุดท้าย รับรองว่าสิ่งที่คุณพยายามมาทั้งหมดไม่เกิดผลลัพธ์ใด ๆ ทั้งสิ้น อย่าได้ละเลยกฎข้อนี้โดยเด็ดขาด
หากทนไม่ได้จริง ๆ ให้เริ่มจากผลไม้ที่ไม่หวาน เช่น ฝรั่ง แล้วค่อย ๆ ปรับตัวให้ชิน

การลดน้ำหนัก การลดความอ้วน ไม่มียาวิเศษใด ๆ ช่วยเราได้ชั่วข้ามคืน
การดำเนินวิถีชีวิตตามปกติ ไม่กินเกิน ไม่อดอาหาร พยายามใส่น้ำตาลเข้าไปในปากเราให้น้อยที่สุด ทีละคืบทีละก้าว แล้วคุณจะภูมิใจในความสำเร็จของคุณ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : www.lovevitamin.net