วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2555

กรดไหลย้อน...ขมิ้นชันช่วยได้

กรดไหลย้อน ถือเป็นโรคยอดฮิตของคนสังคมเมืองในปัจจุบัน ด้วยการใช้ชีวิตอันเร่งรีบ ภาวะความเครียด การที่ต้องดิ้นรนทำงานหาเลี้ยงชีพในชีวิตปประจำวัน ทำให้วิถีชีวิตของคนเมืองเปลี่ยนไปจากอดีต ก่อให้เกิดภาวะโภชนาการที่ไม่เหมาะสม ประกอบกับการกินอาหารไม่ตรงเวลาทำให้เกิดโรคในระบบทางเดินอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคกรดไหลย้อน ซึ่งถือเป็นโรคยอดฮิตสำหรับหนุ่มสาวสังคมเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนวัยทำงาน ซึ่งไม่เว้นแม้กระทั่งพวกศิลปินดารา


หลายคนอาจจะประสบกับปัญหาสุขภาพในเรื่องของโรคกรดไหลย้อนที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้  ไปหาหมอมาก็หลายราย กินยามาก็มากแต่ไม่หายสักที เป็นๆ หายๆจนไม่อยากกินยาที่หมอให้แล้ว  อีกทั้งการกินยาเข้าไปมากๆก็ไม่ดีต่อร่างกายเท่าไหร่นัก   ดังนั้นวันนี้จึงขอแนะนำสมุนไพรที่ช่วยรักษาโรคนี้ได้คือ..ขมิ้นชัน..จากปากต่อปากของผู้ที่ป่วยเป็นโรคกรดไหลย้อนแล้วเคยกินขมิ้นชันเพื่อใช้ในการรักษาต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าให้ผลได้ดีมาก...

การกินขมิ้นชันเพื่อรักษาโรคกรดไหลย้อน


ให้กินก่อนอาหารกินขมิ้นชัน ก่อนอาหาร ๑-๒ ชั่วโมง ๔ มื้อ เช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน มื้อไหนไม่ได้กินอาหารก็กินขมิ้นชันได้ ขนาดรับประทานคือ ครั้งละ ๑ ช้อนชาสำหรับแบบผง หรือ ๓ เม็ดๆ ละ ๕๐๐ มก. ขมิ้นชันนี้จะบำรุงน้ำดีให้ปกติ ป้องกันและรักษาแผลในกระเพาะอาหารขมิ้นเป็นสมุนไพรที่มีความปลอดภัยสูง การศึกษาพบว่าขมิ้น ไม่มีพิษเฉียบพลันและไม่มีผลในด้านก่อกลายพันธุ์ และในการวิจัยทางคลินิก นอกจากนี้ผู้ป่วยควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการกินอาหารด้วย เพื่อช่วยให้ไม่กลับมาเป็นอีก..

คุณประโยชน์ของขมิ้นชัน

ขมิ้นชัน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Curcuma loga Linn., Curcuma domestica Valeton.
ชื่อวงศ์ Zingiberaceae ชื่อท้องถิ่น ขมิ้นแกง, ขมิ้นชัน, ขมิ้นหยวก, ขมิ้นหัว, ยากยอ, สะยอ, หมิ้น

ส่วนที่ใช้คือ เหง้าสดและแห้ง ใช้รับประทานเหง้าของขมิ้นชัน โดยการปอกเปือกหรือตากแห้งแล้วบดเป็นผงใช้ประกอบอาหารได้หลายอย่าง และแบบผงบรรจุแคปซูลเพื่อความสะดวกแก่การรับประทาน


ขมิ้นชันมีประโยชน์และสรรพคุณหลายประการ ดังนี้

ขมิ้นชันมีวิตามิน เอ, ซี, อี ที่เข้าสู่ร่างกายแล้วจะทำงานพร้อมกันทั้ง 3 ตัว จึงมีผลทำให้ช่วยลดไขมันในตับ สมานแผลภายในกระเพาะอาหาร ช่วยย่อยอาหาร ทำความสะอาดลำไส้ เปลี่ยนไขมันให้เป็นกล้ามเนื้อ ต้านอนุมูลอิสระป้องกันมะเร็งตับ สร้างภูมิคุ้มกันให้กับผิวหนัง กำจัดเชื้อราที่ปนเปื้อนในอาหารที่รับประทานเข้าไปและสะสมในร่างกายเตรียมก่อตัวเป็นเซลล์มะเร็ง ช่วยขับน้ำนมสำหรับสตรีหลังการคลอดบุตรได้ดี รองมาจากการกินหัวปลี

กินขมิ้นชันให้ตรงเวลา ที่อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายเปิดการทำงานในช่วงเวลานั้น จะได้ผลตรงกับประเด็นที่ต้องการจะบำรุง หรือแก้ไขฟื้นฟูอวัยวะ รับประทานเพียง 1 แคปซูลเท่านั้น จะออกฤทธิ์มากกว่าเวลาอื่นถึง 40 เท่าตัว แต่ถ้ามีปัญหาหลายอย่างก็รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล ทุก ๆ 2 ชั่วโมง ถ้ารับประทานขมิ้นจำนวนมาก ส่วนที่เหลือจะทำหน้าที่ขับไขมันในตับ

กินขมิ้นชันให้เป็นอาหาร ไม่ใช่กินเป็นยา ต้องกินให้สนุกใช้ปรุงอาหารกินบ้าง หุงข้าวก็ใส่ขมิ้นชันได้ ทอดปลาคลุกขมิ้นชันก็ดี ทำให้หอมน่ากิน และยังได้ประโยชน์อีกด้วย เพราะตัวขมิ้นจะช่วยย่อยไขมันจากน้ำมันที่ใช้ทอดปลาได้เป็นบางส่วน

ถ้ากินขมิ้นชันสดๆ ต้องปอกเปลือกก่อน แต่ถ้าทำขมิ้นบดเป็นผง ต้องนำขมิ้นมาต้มน้ำให้เดือดสักพักหนึ่ง เสร็จแล้วตักออกนำมาผึ่งให้เย็นหั่นเป็นแว่นเล็กๆ ตากแดดจนแห้ง อาจจะตากหลายครั้ง แล้วถึงจะนำมาบดให้เป็นผง ถ้าใช้เครื่องอบให้ขมิ้นแห้ง ความร้อนไม่ควรเกิน 65 องศา ถ้าความร้อนเกินอาจเกิดสารสเตรอยด์ได้

กินขมิ้นชันตามเวลาต่อไปนี้จะได้ผลโดยตรงกับอวัยวะส่วนนั้น

เวลา 03.00 - 05.00 น. ช่วยบำรุงปอด ป้องกันการเป็นมะเร็งปอด ช่วยทำให้ปอดแข็งแรง ช่วยเรื่องภูมิแพ้ของจมูกที่หายใจไม่สะดวก และช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้เวลา 03มกันที่ผิวหนัง

เวลา 05.00 - 07.00 น. ช่วยแก้ปัญหาลำไส้ใหญ่ ถ้าเคยกินยาถ่ายมาเป็นเวลานาน ให้กินขมิ้นชันเวลานี้ ขมิ้นชันจะฟื้นฟูปลายประสาทของลำไส้ใหญ่ แต่ต้องกินเป็นประจำ ถึงจะทำให้ลำไส้ใหญ่บีบรัดตัวเพื่อขับถ่ายอย่างปกติ แก้ปัญหาลำไส้ใหญ่กลืนลำไส้เล็ก หรือลำไส้ใหญ่มีปัญหาถ่ายมากเกินไปหรือถ่ายน้อยเกินไป ถ้าลำไส้ใหญ่ไม่มีปัญหา ให้กินขมิ้นชันพร้อมกับสูตรโยเกิต + นมสด + น้ำผึ้ง + มะนาว หรือน้ำอุ่นก็ได้ จะไปช่วยล้างผนังลำไส้ที่มีหนวดเป็นขนเล็กๆ อยู่เป็นล้านๆ เส้น ซึ่งขนเหล่านี้มีหน้าที่ดูดซึมสารอาหารเพื่อไปสร้างเม็ดเลือด ขมิ้นชันจะช่วยล้างให้สะอาดได้ ก็จะไม่ค่อยมีขยะตกค้าง จึงไม่เกิดแก๊สพิษที่ทำให้เกิดกลิ่นตัว และจะไม่ค่อยเป็นริดสีดวงทวาร ไม่เป็นมะเร็งลำไส้

เวลา 07.00 - 09.00 น. ช่วยแก้ปัญหาเรื่องกระเพาะอาหาร เกิดจากการกินข้าวไม่เป็นเวลา ท้องอืด จุกแน่น ปวดเข่า ขาตึง ช่วยบำรุงสมอง ป้องกันความจำเสื่อม

เวลา 09.00 - 11.00 น. ช่วยแก้ปัญหาเรื่องน้ำเหลืองเสีย มีแผลที่ปาก อ้วนเกินไป ผอมเกินไปที่เกี่ยวกับม้าม ลดอาการของโรคเก๊าต์ ลดอาการเบาหวาน

เวลา 11.00 - 13.00 น. สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจ มีหรือไม่มี ถ้ากินขมิ้นชันเวลานี้ จะช่วยบำรุงหัวใจให้แข็งแรง ถ้าเลยเวลา 11.00 น.ไปแล้ว ขมิ้นชันจะไปทำงานที่ตับ แล้วตับจะส่งมาที่ปิด ปอดจะส่งไปยังผิวหนัง แต่ส่วนมากมาไม่ถึงเพราะกินขมิ้นชันน้อยเกินไป อวัยวะส่วนอื่นจะดึงไปใช้งานก่อนเลยมาไม่ถึงผิวหนัง จึงต้องลงขมิ้นชันทางผิวหนังช่วยอีกทางหนึ่ง

เวลา 15.00 - 17.00 น. ช่วยดูแลหูรูดกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง แก้ปัญหาเรื่องตกขาวของสตรี และควรกินน้ำกระชายเวลานี้ด้วย จะช่วยดูแลหูรูดกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง ช่วงเวลานี้ควรทำให้เหงื่อออกจะดีมาก เพราะร่างกายต้องการขับสารพิษให้ได้มากที่สุดในเวลานี้

เลยเวลาจากช่วงนี้ จนไปถึงการกินก่อนนอน ขมิ้นชันจะไปช่วยเรื่องความจำให้ความจำดี ตื่นนอนขึ้นมาตอนเช้าจะไม่ค่อยอ่อนเพลีย และช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น กินขมิ้นชันมากๆ จะช่วยขับไล่ไรฝุ่นที่ผิวหนังไม่เป็นผดผื่นคันง่ายๆ และช่วยขับไขมันในตับ ถ้ากินปริมาณมาก

กินขมิ้นชัน แบบผงหรือบรรจุแคปซูล ควรเลือกซื้อจากผู้ผลิตที่มีมาตรฐานและสะอาดเชื่อถือได้ ไร้สารเคมีไม่มีสเตรอยที่เกิดจากการอบแห้งด้วยความร้อนเกิน 65 องศา ควรตัดสินใจเอง เพราะเราจะต้องกินทุกวัน ก็ควรกินให้ปลอดภัยและสบายใจ ถ้ากินขมิ้นชัน แบบผง 1 ช้อนชา ใช้ผสน้ำ 1 แก้ว (ไม่เต็ม) ขมิ้นชันจะไหลผ่านส่วนต่างๆ ตั้งแต่

            - ผ่านลำคอ ช่วยขับไล่ไรฝุ่นที่ลำคอ ไปผ่านปอดช่วยดูแลปอดให้หายใจดีขึ้น ลดความชื้นของปอด
            - ผ่านม้าม ก็ลดไขมัน และปรับน้ำเหลืองไม่ให้น้ำเหลืองเสีย
            - ผ่านกระเพาะอาหาร ก็จะรักษาแผลในกระเพาะอาหาร
            - ผ่านลำไส้ ก็สมานแผลลำไส้
            - ผ่านตับ ก็ไปบำรุงตับ ล้างไขมันในตับ

ขมิ้นชันยังช่วยดูแลเซลล์ต่างๆ ที่ฉีกขาดก็จะไปเชื่อมให้ และไปกวาดขยะ กวาดไขมันมากองไว้ ถ้าจะอุ้มขยะไปทิ้งโดยการถ่ายก็กินอาหารปกติ เช่น พืช ผัก ผลไม้ ที่มีกากใย หรือกินน้ำลูกสำรอง (พุงทลาย) เพื่ออุ้มไขมัน อุ้มแก๊สไปทิ้งคนธาตุเบา แสดงว่ามีการระคายเคือง อักเสบ เป็นแผลเรื้อรังบางอย่างที่ผนังลำไส้เป็นอาจิณ

คนธาตุหนัก แสดงว่าปลายประสาทลำไส้ใหญ่เสื่อม อาจเกิดจากการกินยาถ่ายเป็นประจำ หรือดื่มน้ำน้อย ทั้งธาตุเบาและธาตุหนักไม่ดีทั้งคู่ ถ้าเป็นอย่างนี้แสดงว่ามีปัญหาที่ลำไส้ และปลายประสาทลำไส้ใหญ่ผิดปกติ หากปล่อยไว้วันข้างหน้าจะมีโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ ควรกินขมิ้นชันเป็นประจำ เพื่อค่อยๆ ปรับให้เข้าที่แล้ว จะกลับมาถ่ายเป็นปกติ



 การค้นพบสรรพคุณใหม่ๆ ของขมิ้นชันอีกมากมาย เช่น การป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด การชลอความแก่ การเป็นสารต้านมะเร็งและเนื้องอกต่างๆ พบว่า การกินอาหารผสมขมิ้นสามารถทำลายเชื้อไวรัสที่ผ่านมาทางอาหารได้ รวมทั้งสามารถป้องกันมะเร็งจากสารก่อมะเร็งต่างๆ และยังมีสรรพคุณในการต้านไวรัส โดยเฉพาะเชื้อ HIV อันเป็นต้นเหตุของโรคเอดส์ ขมิ้นชันจึงเป็นอีกความหวังหนึ่งของผู้ป่วยเอดส์

แต่การเลือกขมิ้นชันมากินนั้น หากต้องเลือกเอง ขุดเอง ควรเลือกขมิ้นชันที่ได้คุณภาพ คือ ขมิ้นชันต้องมีอายุอย่างน้อย 9-12 เดือน จึงสามารถขุดเหง้ามาทำยาได้ และต้องไม่เก็บไว้นานเกินไป จนน้ำมันหอมระเหยหายหมด และต้องไม่ลืมว่า แสงมีปฏิกิริยากับสาระสำคัญคือ เคอร์คิวมินในขมิ้นชัน จงต้องเก็บให้พ้นแสงด้วย มิฉะนั้นจะได้รับประทานแต่กากขมิ้นชันแน่ๆ

ในสมัยก่อนนั้น ภูมิปัญญาท้องถิ่นพื้นบ้านของไทยได้มีการนำขมิ้นมาใช้ประกอบอาหารหลายชนิด  ใช้ปรุงแต่งกลิ่นและรสในอาหาร โดยเฉพาะอาหารทางภาคใต้ เช่น แกงเหลือง แกงไตปลา แกงกะหรี่ ไก่ทอดขมิ้น เป็นต้น นับเป็นความฉลาดของคนใต้ ที่หาวิธีกินขมิ้นในชีวิตประจำวัน

 สำหรับสาวๆ แล้วการใช้ขมิ้นชันทาผิวหน้าจะทำให้ผิวหน้านุ่มนวล คนมาเลเซียและคนไทยสมัยก่อนจะใช้ขมิ้นชันในการอาบน้ำ ทำให้ผิวผ่องยิ่งขึ้น วิธีการอาบน้ำด้วยขมิ้นนั้น จะทาขมิ้นชันหมักไว้ที่ผิวหนังสักพัก แล้วจึงขัดออกด้วยส้มมะขามเปียก นอกจากทำให้ผิวหนังนุ่มนวลแล้ว ขมิ้นยังมีสรรพคุณในการป้องกันการงอกของขน ผู้หญิงอินเดียจึงใช้ขมิ้นชันทาผิวหนัง เพื่อป้องกันไม่ให้ขนงอก คนพม่าเชื่อว่าถ้าใช้ขมิ้นชันผสมสมุนไพร ที่ชื่อทานาคา ทาผิวเด็กสาวตั้งแต่ยังเล็กๆ จะทำให้ผิวเนียนละเอียดขึ้น
 

ขอขอบคุณ : www.nathasorn.com

วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เหตุใด"มะระ"จึงเหหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

"มะระ"เมื่อได้ยินชื่อผักชนิดนี้ เชื่อว่าหลายคนคงเบือนหน้าหนีก็เพราะรสชาดที่ขมปี๋ไม่ชวนรับประทานของมันนั่นเอง แต่เชื่อหรือไม่ว่าเจ้าผักที่รูปลักษณ์ไม่ชวนมอง และรสชาดก็ไม่ชวนชิมชนิดนี้มันชั่งมีคุณค่าทางโภชนาการ และสรรพคุณทางยาอย่างน่าอัศจรรย์เสียจริง ๆ

อย่างที่โบราณเค้าว่าไว้"หวานเป็นลมขมเป็นยา"ความขมที่หลายคนเกลียดนักเกลียดหนาของมะระ เป็นยาช่วยให้เจริญอาหาร เพราะสารขมที่อยู่ในมะระนั้นจะช่วยกระตุ้นให้น้ำย่อย ออกมามากจึงทำให้รับประทานอาหารได้มากขึ้นโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเราอาจจะนำมะระไปลวก หรือเผาไฟ แล้วนำมาจิ้มกับน้ำพริกก็ได้

"มะระ"เป็นผักที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ก็เพราะมะระมีคุณสมบัติในการการบำบัดและรักษาโรคเบาหวาน ด้วยสารอาหารในมะระ ซึ่งทำหน้าที่เพิ่มเบต้าเซลล์ในตับอ่อน โดยการกระตุ้นให้เกิดการสร้างอินซูลิน (ฮอร์โมนควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด) อีกทั้งมะระยังมีเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ย่อยน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรต สารอาหารจะผสมอยู่ในรูปของโปรตีนซึ่งสามารถบรรเทาอาการเจ็บป่วยที่เกิดจากโรคตับและโรคเบาหวานได้ มะระยังสามารถแก้โรคตับอักเสบ ปวดหัวเข่า ม้ามอักเสบได้ด้วย โดยรับประทานมะระดิบเป็นประจำจะช่วยได้

นอกจากนี้มะระยังมีคุณค่าทางอาหารมากมาย เพราะอุดมไปด้วยฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี วิตามินบี1 - บี3, เบต้าแคโรทีน, ไฟเบอร์, ธาตุเหล็ก,โพแทสเซียม เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสารอาหารซูปเปอร์คูลที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และมันก็มารวมตัวกันอยู่ในมะระหมดแล้ว ดังนั้นมะระจึงเหมาะกับคนทุกเพศทุกวัยด้วย ไม่เพียงแต่ผู้ป่วยเบาหวานเท่านั้น

การรับประทานมะระเป็นประจำนอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานแล้ว มะระยังช่วยในเรื่องของระบบขับถ่ายด้วย เพราะมะระมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ แก้อาการท้องผูกได้เป็นอย่างดี

ข้อควรระวัง ไม่ควรทานมะระผลสุก เพราะอาจทำให้คลื่นไส้ อาเจียนได้ เนื่องจากมีสาร"ซาโปนิน"อยู่มากซึ่งสารนี้จะทำให้เป็นพิษต่อร่างกาย หากจะลดความขมของมะระต้องลวกหรือต้มนานๆ โดยคลุกเคล้ากับเกลือก่อนที่จะนำไปปรุง หรือต้มน้ำแล้วเทน้ำทิ้ง 1 ครั้ง ก่อนนำมารับประทาน จะช่วยให้กินมะระได้อย่างสบายใจ

วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ดื่มกาแฟปริมาณที่พอเหมาะ ให้ประโยชน์มากกว่าให้โทษ

คนเรามักจะมีทัศนคติต่อกาแฟในด้านลบเสียเป็นส่วนใหญ่ บ้างก็ว่าดื่มกาแฟไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ ต่อร่างกาย หรือบ้างก็ว่าการดื่มกาแฟทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง หรือโรคเบาหวาน เป็นต้น แต่ความจริงแล้วการดื่มกาแฟในปริมาณที่พอเหมาะนั้นให้ประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าให้โทษอย่างที่เข้าใจกัน ซึ่งก็มีผลการวิจัยออกมายืนยันในเรื่องนี้

ผลวิจัยเรื่องนี้เป็นผลงานของทีมนักวิจัยมหาวิทยา ลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารโภชนาการทางการแพทย์ไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ถือเป็นอีกข่าวดีล่าสุดจากประโยชน์ของการดื่มกาแฟ (แต่ต้องเป็นกาแฟที่ไม่ได้สกัดคาเฟอีนออก)

ผลวิจัยนี้ได้ทำการศึกษา จากคนจำนวนกว่า 1.93 แสนคน พบว่าผู้ดื่มกาแฟเป็นประจำมีความเสี่ยงจากการเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 (ร่างกายต่อต้านอินซูลิน)ลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับผู้ไม่ดื่ม โดยยิ่งดื่มมากความเสี่ยงยิ่งต่ำ

นอกจากนี้แม้กาแฟจะได้รับการกล่าวขานว่าเป็นอันตรายต่อหัวใจ แต่การศึกษาล่าสุดนี้ไม่พบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคหัวใจ แต่กลับพบว่าบุคคลที่มีสุขภาพดีวัย 65 ปีขึ้นไป ซึ่งดื่มกาแฟ (ชนิดมีคาเฟอีน) วันละ 4 แก้วหรือมากกว่านั้นทุกวัน มีความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจต่ำกว่าผู้ไม่ดื่มถึง 53%

ไม่เป็น ที่แน่ชัดว่าทำไมกาแฟจึงช่วยลดความเสี่ยงโรคดังกล่าว แต่ผู้วิจัยเชื่อว่าน่าจะเป็นเพราะในกาแฟมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ โดยพบว่ากาแฟมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระเช่นเดียวกับที่องุ่นมี และยังมีมากกว่าบลูเบอร์รี่เสียอีก

อีกทั้งเชื่อว่าแมกนีเซียมใน กาแฟช่วยให้เซลล์ในร่างกายอ่อนไหวต่ออินซูลิน (จึงช่วยป้องกันเบาหวาน) นอกจากนี้กาแฟยังเกี่ยวข้องกับการลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคพาร์คินสัน,นิ่ว น้ำดีและมะเร็งตับ

ผู้วิจัยบอกว่า การดื่มกาแฟวันละ 2-3 แก้วไม่เป็นอันตราย แต่กลับเป็นประโยชน์ อย่างไรก็ตามผู้วิจัยไม่แนะนำให้ดื่มกาแฟเพื่อป้องกันโรค และหากดื่มมากเกินไปจะก่อภาวะไม่สบายได้ เช่นนอนไม่หลับ ปวดศีรษะ

ส่วนผู้ที่เป็นโรคหัวใจอยู่เดิมก็ไม่ควรดื่ม รวมทั้งคุณแม่ที่เพิ่งคลอดบุตร ก็ควรงดเว้นการดื่มเพราะคาเฟอีนจะไปผสมอยู่ในน้ำนมมารดา

ขอขอบคุณ : หนังสือพิมพ์มติชน

วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2555

น้ำมันมะพร้าวกับเส้นผม

สาว ๆ หลายคนอาจจะเคยได้ยินว่าน้ำมันมะพร้าวช่วยบำรุงเส้นผมคนเราให้สวยเงางามได้ แต่อาจจะสงสัยว่าเราจะนำน้ำมันมะพร้าวที่ได้มานั้นทำอย่งไรถึงจะได้ผลดีที่สุด วันนี้เราจะไปรู้จักน้ำมันมะพร้าวกันให้มากขึ้น รวมทั้งยังมีสูตรเด็ด ๆ มาฝากกันอีกด้วย

น้ำมันมะพร้าวบริสุทธ์ คือ น้ำมันที่ได้โดยไม่ผ่านความร้อน (cold press coconut oil)ผลิตจากเนื้อมะพร้าวสดเป็นน้ำมันมะพร้าวที่บริสุทธ์ที่สุด สีใสเหมือนน้ำ มีวิตามินอี และไม่ผ่านกระบวนการเติมออกซิเจน (oxidation)และที่สำคัญในน้ำมันมะพร้าวมีกรดลอริกอยู่ประมาณ 54.61%กรดนี้มีส่วนที่ทำให้น้ำมันมะพร้าวดีเด่นกว่าน้ำมันพืชชนิดอื่น ๆ เพราะมันมีความสามารถพิเศษคือสร้างภูมิคุ้มกัน เมื่อเราบริโภคน้ำมันมะพร้าวเข้าไปในร่างกายกรดลอริกในน้ำมันมะพร้าวจะเปลี่ยนเป็นโมโนกลีเซอร์ไรด์ ที่มีชื่อว่า โมโนลอริน ซึ่งเป็นสารตัวเดียวกับที่อยู่ในน้ำนมแม่ ที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับทารกในระยะ 6 เดือนแรกที่ร่างกายยังไม่สร้างระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้เด็กระยะแรกเกิดไม่ค่อยเป็นโรคอะไร เจ้าโมโนลอรินนี้เป็นสารปฏิชีวนะที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ที่สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา ยีสต์ โปรโตซัว และไวรัส รวมทั้งเชื้อที่ก่อให้เกิดหลอดเลือดแข็งตัวด้วย

เนื่องจากน้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมันพืชที่มีคุณสมบัติที่เพิ่มความชุ่มชื้น อีกทั้งมีสารปฏิชีวนะ (จากโมโนลอริน) และสาร antioxidant (จากสารโทโคทรินนอลในวิตามินอี)จึงมีส่วนช่วยทำให้ผมดกดำ สวยเงางาม จากคุณสมบัติต่อไปนี้

1.ช่วยปรับสภาพเส้นผม น้ำมันมะพร้าวเป็น Hair conditioner ที่ช่วยทำให้ผมนุ่มดำเป็นเงางาม  เพราะมีวิตามินอีที่ช่วยเสริมการเจริญของเส้นผม

2.ช่วยรักษาสุขภาพของหนังศรีษะ น้ำมันมะพร้าวช่วยรักษาสุขภาพของหนังศรีษะ ทั้งนี้เพราะน้ำมันมะพร้าวมีสารปฏิชีวนะที่คอยทำลายเชื้อโรค หนังศรีษะจึงมีสุขภาพดี ไม่มีรังแค

3.ช่วยให้เส้นผมมีสุขภาพดี เส้นผมประกอบด้วยส่วนนอกที่ทำหน้าที่หุ้มส่วนใน หากส่วนนอกอยู่ในสภาพที่ดี ไม่ฉีกขาดหรือเว้าแหว่งนั้น เส้นผมก็จะปกติ  กล่าวคือน้ำมันมะพร้าวช่วยลดปริมาณการสูญเสียโปรตีนของเส้นผม  เพราะน้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติยึดเกาะกับโปรตีนของเส้นผมได้ดี อีกทั้งมีขนาดของโมเลกุลเล็กจึงสามารถแทรกซึมเข้าไปในเส้นผมได้สะดวก ทำให้เส้นผมมีสุขภาพดี

Coconut oil tip

1.นำน้ำมันมะพร้าวบริสุทธ์มาหมักผมรวมถึงหนังศรีษะประมาณ 15 นาที ก่อนล้างออกด้วยแชมพูสูตรอ่อน ๆ


2.จากนั้นนำน้ำมันมะพร้าวบริสุทธ์นี้มาลูบไล้เส้นผมหลังสระอีกครั้งหนึ่ง จะช่วยบำรุงเส้นผมให้ดกดำ เงางาม ไม่แตกปลาย


3.สำหรับคนที่มีผมแห้งเสียมาก ๆ เมื่อใช้น้ำมันมะพร้าวหมักและบำรุงเส้นผมไปสักระยะหนึ่ง จะสังเกตเห็นได้ว่าเส้นผมที่เคยจัดทรงยากนั้น หวีได้ง่ายขึ้นและเส้นผมไม่พันกัน

นี่คือวิธีดูแลเส้นผมให้ดกดำ นุ่มสลวยเป็นเงางาม ดูมีสุขภาพแบบง่าย ๆ ด้วยวิธีธรรมชาติจากน้ำมันมะพร้าว เป็นการลดการพึ่งพาสารเคมีซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพผมและหนังศรีษะในระยะยาว

วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วิธีขัดผิวให้ขาวใสเป็นธรรมชาติด้วยตัวเอง

ผิวขาวใสเป็นสิ่งที่หนุ่ม ๆ สาว ๆ ทุกคนปราถนา แต่ด้วยวัยที่มากขึ้นอาจเป็นปัญหาหนึ่งที่ทำให้ผิวเรามีริ้วรอย และหมองคล้ำลง การดูแลผิวด้วยวิธีการขัดผิวให้กระจ่างใสจึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้เราสามารถกลับมาอวดผิวสวยได้อย่างมั่นใจ วันนี้จึงมีวิธีขัดผิวด้วยตัวเองมาฝากกัน

ปกติแล้วผิวของคนเราจะมีการผลัดเซลล์ทุก ๆ 2-4 สัปดาห์ แต่เมื่ออายุเกิน 20 ปีไปแล้วการผลัดเซลล์ผิวจะช้าลง ส่งผลให้เกิดปัญหาริ้วรอยและผิวหมองคล้ำตามมา การขัดผิวจะช่วยให้เซลล์ผิวเก่าที่ทับถมอยู่บนผิวหลุดออกไปเผยผิวใหม่ด้านในที่สวยใสชวนมอง 

สูตรการขัดผิวจากธรรมชาติที่ช่วยขัดผิวกายให้ขาวใสขึ้นด้วยอุปกรณ์ในการขัดผิวที่หาได้ไม่ยากและสามารถทำเองได้ อาทิ เกลือเม็ดหยาบ น้ำมันมะกอก และน้ำมะนาว ส่วนวิธีการขัดมีขั้นตอนดังนี้

นำเกลือมาผสมกับน้ำมันมะกอกในปริมาณที่เหมาะสม เสร็จแล้วเติมน้ำมะนาวลงไป กะดูให้พอเข้มข้น โดยเกลือจะทำหน้าที่ลอกเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว และทำความสะอาดผิวได้เป็นอย่างดี ส่วนน้ำมันมะกอกช่วยทำให้ผิวเกิดความชุ่มชื่น และน้ำมะนาวจะช่วยทำให้ผิวขาวขึ้น แต่ควรผสมในปริมาณที่น้อย เพราะน้ำมะนาวมีฤทธิ์เป็นกรดอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้ และขณะอาบน้ำให้ขัดผิวด้วยส่วนผสมที่เตรียมไว้ แล้วล้างออก

แต่ข้อควรระวังที่สำคัญคือ ให้ลองทดสอบก่อน ถ้ารู้สึกระคายเคืองให้ล้างออกและหยุดใช้ทันที และเพื่อเป็นการปรนนิบัติดูแลผิวอย่างต่อเนื่องควรทำสัปดาห์ละ 1- 2 ครั้ง สำหรับผู้มีผิวบอบบาง การขัดผิวอาจทำให้เกิดอาการแสบขณะขัดถูผิวบางส่วน กรณีที่แพ้ง่ายให้ลองสังเกตว่าเป็นการแพ้จากภูมิแพ้หรือสารเคมี หากแพ้สารเคมีก็สามารถขัดผิวด้วยสมุนไพรได้ จะช่วยให้ผิวดูดีขึ้น และหลังการขัดผิวทุกครั้งควรบำรุงผิวด้วยการทาครีมเพื่อเป็นการรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิว

แต่การที่เราจะมีผิวพรรณขาวสวยสดใสดูสุขภาพดีได้นาน ๆ นั้น สิ่งสำคัญที่สุดที่ไม่ครมองข้ามคือ การให้อาหารแก่ร่างกายเพื่อเสริมสร้างผิวด้วยการรับประทานผักผลไม้ ดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ เพื่อกักเก็บความชุ่มชื้นให้ผิว นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงที่ที่มีฝุ่นละอองมลพิษ แสงแดดและความเครียด เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้ผิวดูสวยสุขภาพดีแล้ว

หนุ่ม ๆ สาว ๆ คนไหนอยากมีผิวพรรณที่ขาวใสเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ หากมีวันหยุดหรือเวลาว่าง ลองมาขัดผิวง่าย ๆ ด้วยตัวเองดู เพราะนอกจากจะได้ผิวที่สวยขาวใสแล้ว ยังถือเป็นการผ่อนคลายช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตอีกด้วย

วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2555

5 วิธีลดสารคาเฟอีนในชา

ไม่ใช่แต่ในกาแฟเท่านั้นที่มีสารคาเฟอีน แม้แต่ในชา ไม่ว่าจะเป็นชาเขียว ชาดำ ชาอูหลงที่ว่ากันว่าเป็นสุดยอดเครื่องดื่มก็มีสารคาเฟอีนไม่น้อยเหมือนกัน แต่ 5 วิธีต่อไปนี้จะช่วยให้คุณดื่มชาได้อย่างสบายใจขึ้น

1.ชนิดก็สำคัญ
ในชาชั้นดียิ่งมีสารคาเฟอีนในปริมาณสูง เพราะชาชั้นดีเป็นชาจากยอดอ่อน ซึ่งเป็นส่วนที่ต้นชาเก็บสารอาหารเอาไว้มากที่สุด จึงต้องมีสารคาเฟอีนมากกว่าส่วนอื่น ถ้าอยากได้สารคาเฟอีนที่น้อยลง นักดื่มชาทั้งหลายจึงต้องยอมลดระดับลงมาดื่มชาเกรดกลาง ๆ ถึงจะหอมน้อยลงหน่อย แต่สารคาเฟอีนก็น้อยตามลงไปด้วยเหมือนกัน


2.อย่าใช้ชาซอง
ชาที่บรรจุซองขายจะมีสารคาเฟอีนสูงกว่าชากระป๋อง เพราะผู้ผลิตเขาคำนวณมาแล้วว่า ชา 1 ซองต้องชงได้ 3 ครั้ง ใน 1 ซองจึงอัดชาไว้มากเกินจำเป็น เทียบกับการตักจากกระป๋องแล้ว ใน 1 แก้วเราจะใช้ใบชาน้อยกว่าชงจากซองมาก

3.ชงทีละน้อย
ส่วนใหญ่เราจะตักชาทีละ 1-2 ช้อนใส่ลงไปในแก้ว แต่วิธีที่ถูกต้องจริง ๆ ควรจะใส่แค่ครึ่งช้อนก่อน แล้วชิมรสชาดดูว่าอ่อนแก่แค่ไหน ถ้าพอใจแล้วก็หยุด แต่ถ้ายังรู้สึกว่าอ่อนไปก็ค่อยเติมใบชาลงไปอีกครึ่งช้อน วิธีนี้ก็เหมือนกับการปรุงก๋วยเตี๋ยวต้องปรุงไปชิมไปถึงจะได้รสชาดที่ลงตัว

4.น้ำแรกไม่เอา
ในบรรดาสารอาหารทุกชนิดในใบชา สารคาเฟอีนเป็นสารอาหารที่ละลายน้ำได้เร็วที่สุด  ถ้าเราชงใบชาในน้ำร้อน ทิ้งไว้ 5 นาทีแล้วเทน้ำทิ้งไป 70% ของสารคาเฟอีนในใบชาจะถูกกำจัดไปด้วย เท่านี้ก็ดื่มชาได้อย่างสบายใจหายห่วง


5.ดื่มชาตอนอุ่น
ในใบชามีคู่อริของสารคาเฟอีนอีนอยู่ด้วย นั่นคือสารคาเทชินส์และสารทีอานีน สาร 2 ตัวนี้เกิดมาเพื่อฆ่าความแรงของสารคาเฟอีนโดยเฉพาะ แต่มันจะมีฤทธิ์อยู่ได้ไม่นานนัก บรรดานักดื่มชาทั้งหลายจึงต้องรีบดื่มตั้งแต่ตอนที่น้ำชายังอุ่น ๆ อยู่เพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าสาร 2 ตัวนี้จะยังไม่เสื่อมสภาพไปเสียก่อนนั่นเอง

ทราบอย่างนี้แล้ว ในการดื่มชาครั้งต่อไปของบรรดานักดื่มชาทั้งหลาย ก็คงไม่ต้องกลัวว่าจะได้รับสารคาเฟอีนเกินความจำเป็นอีกต่อไป

วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2555

สมุนไพรพลูคาว ยับยั้งเซลล์มะเร็ง ต้านไวรัส HIV ได้จริงหรือ

"พลูคาว"เมื่อเอ่ยถึงพืชชนิดนี้คนทั่ว ๆ ไปอาจไม่คุ้นนัก ยกเว้นคนภาคเหนือหรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือบางส่วน เพราะพลูคาวเป็นพืชประจำถิ่น พบมากในแถบภาคเหนือแและภาคตะวันออกเฉียงเหนือบางส่วน คนภาคเหนือรู้จักนำพลูคาวมาใช้ประโยชน์เป็นเวลาช้านาน โดยนิยมนำใบมาเป็นเครื่องเคียงอาหารสด ๆ เช่น ลาบ ซ่า ก้อย ซกเล็ก หรือขนมจีนเป็นต้น นอกจากนี้หมอแผนโบราณยังใช้พลูคาวมารักษาผู้ป่วยโรคริดสีดวงอีกด้วย  ทั้งนี้จากผลการวิจัยพบว่าคนภาคเหนือมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งน้อยกว่าคนภาคอื่น ๆ เพราะรับประทานพลูคาวเป็นเครื่องเคียงอาหารหลักเป็นประจำนั่นเอง

พลูคาว หรือชื่อ อื่นๆ คาวตอง(ลำปาง,อุดร)คาวทอง(มุกดาหาร,อุตรดิตถ์)ผักก้านตอง(แม่ฮ่องสอน)ผัก เข้าตอง,ผักคาวตอง,ผักคาวปลา(ภาคเหนือ)พลูคาว(ภาคกลาง)เป็นไม้เลื้อยล้มลุก เป็นพืชตระกูลเดียวกับพลู แต่อายุอยู่ได้หลายปี ขึ้นอยู่ตามแถวภาคเหนือ ลำต้นจะเลื้อยทอดไปตามพื้นดิน รากแตกออกตามข้อ ทั้งต้นมีกลิ่นคาวอย่างรุนแรง คล้ายปลาช่อน การขยายพันธุ์โดยปักชำ ชอบขึ้นตามริมห้วยหรือที่ชื้นแฉะริมน้ำมีร่มเงาเล็กน้อยในสภาพอากาศที่เย็น ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปทรงคล้ายรูปหัวใจกว้าง โคนใบเว้า ปลายใบแหลม ขอบใบ มีก้านใบยาว ใต้ใบจะมีสีแดงอ่อนถึงสีแดงเข้ม โคนก้านแผ่เป็นกาบหุ้มลำต้น ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด ดอกบานมีใบประดับที่โคนดอกสีขาว 4 กลีบ แต่ละช่อมีดอกย่อยขนาดเล็กจำนวนมาก อัดกันแน่นเป็นแท่งทรงกระบอกสีจะออกเหลืองอ่อน ผล เป็นผลแห้งแตกได้

จากข้อสังเกตุว่า จำนวนประชากรในภาคเหนือเป็น “โรคมะเร็ง” ค่อนข้างน้อย เนื่องจากบริโภคพลูคาวเป็นประจำ และหมอแผนโบราณเคยใช้พลูคาวมารักษาผู้ป่วยริดสีดวงทวาร ทำให้หายเจ็บปวดโดยไม่ต้องทำการผ่าตัด ทำให้คณะนักวิจัยซึ่ง ประกอบด้วย รศ.มณเฑียร เปสี,ศ.น.พ.พงษ์ศิริ ปรารถนาดี,รศ.น.พ.สุขชาติ เกิดผล,ผศ.ดร.วิจิตร เกิดผล และผศ.ดุษฎี มุสิกโปดก คณะแพทย์จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และมหาวิทยาลัยขอนแก่น สนใจที่จะศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการใช้พลูคาวรักษาผู้ป่วยมะเร็ง

เบื้องต้นคณะนักวิจัยได้นำพลูคาวจากแปลงเกษตรอินทรีย์ที่สวนดอยหลวง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ซึ่งมีพื้นที่ปลูกพลูคาวตามระบบเกษตรอินทรีย์กว่า 30 ไร่ มาวิจัยและทดลองผลิตเป็นยาน้ำสมุนไพรบำรุงร่างกาย โดยผ่านกรรมวิธีการหมักและผสมผสานระหว่างศาสตร์ซึ่งเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิม กับเทคโน โลยีชีวภาพ (NanoTechnology) ใช้สมุนไพรพลูคาวเป็นสารตั้งต้น

ขณะเดียวกันคณะนักวิจัยยังได้ทราบข้อเท็จจริงว่า สีแดงที่อยู่ใต้ใบพลูคาวเป็นตัวชี้วัดว่ามีเภสัชสาร ซึ่งเป็นสารเฮลตีแบคทีเรีย มีจุลินทรีย์และแลคโตบาซิลลัสสายพันธุ์หนึ่ง ที่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายของมนุษย์ให้ทำงานได้ดีขึ้น ทั้งยังสามารถไปยับยั้งการเจริญเติบโตและต้านทานเนื้องอก (Anti-tumor) และช่วยต้านอนุมูลอิสระในร่างกายได้ค่อนข้างดี

หลังจากที่สกัดเป็น ยาน้ำ และผ่านการเห็นชอบจากคณะกรรมการจริยธรรมแล้ว ได้นำยามาทดลองในผู้ป่วยมะเร็ง 5 ชนิด คือ มะเร็งปอด มะเร็งต่อมไทรอยด์ มะเร็งปากมดลูก เนื้องอกบริเวณสมอง และเนื้องอกของ Soft tissue sarcoma โดยให้ผู้ป่วยดื่มบำรุงร่างกาย และใช้ร่วมกับการรักษาของคณะแพทย์โดยการฉายรังสี ปรากฏว่า สามารถช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายผู้ป่วยมะเร็งได้ ทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาได้มากขึ้นทำให้อาการของผู้ป่วยดี ขึ้นและยืดอายุของผู้ป่วยได้นานขึ้นด้วย ซึ่งดีกว่าการรักษาด้วยการฉายรังสีเพียงอย่างเดียว

นอกจากนี้ยังมีผลการวิจัยฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่เกี่ยวข้องกับพลูคาว คือ

ฤทธิ์ในการทำลายเซลล์มะเร็ง 5 ชนิด คือ เซลล์มะเร็งปอด เซลล์มะเร็งรังไข่ เซลล์เนื้องอกที่เป็นเนื้อร้าย เซลล์มะเร็งสมอง เซลล์มะเร็งลำไส้ เซลล์มะเร็งเต้านม

ฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว

ฤทธิ์ฆ่าเชื้อไวรัส กระตุ้นเซลล์เพิ่มภูมิคุ้มกัน ป้องกันไข้ทรพิษ หัด หัดเยอรมัน การติตชื้อในระบบทางเดินหายใจ ต้านเชื้อไวรัส  HIV งูสวัด โรคผิวหนัง

ฤทธิ์การต้านเชื้อราและแบคทีเรีย เยื่อหุ้มสมองอักเสบที่เกิดจากเชื้อรา ทางเดินปัสสาวะอักเสบ การติตเชื้อทางเดินหายใจ โรคทางเดินอาหาร โรคปริทนต์ โรคระบบสืบพันธุ์ กลาก เกลื้อน  โรคติตเชื้อในช่องปาก

ฤทธิ์ต้านการอักเสบต่าง ๆ ยับยั้งเอนไซม์เป็นบ่อเกิดของการอักเสบ หรือโรคที่มีการอักเสบ

ฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขยายหลอดเลือด ทำให้อัตราการไหลเวียนของเลือด และการขับปัสสาวะดีขึ้น ลดภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูง

ฤทธิ์อื่น ๆ เช่น เพิ่มภูมิคุ้มกันหรือภูมิต้านทานโรค ยับยั้งเนื้องอก กระตุ้นเซลล์น้ำเหลือง รักษาสมดุลของร่างกาย และอื่น ๆ

จากประสิทธิภาพของ พลูคาวที่ผู้ป่วยทั้งในและต่างประเทศเริ่มยอมรับ และเป็นที่รู้จักมากขึ้น ทำให้ขณะนี้มีคณะแพทย์และเภสัชกรจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เริ่มหันมาสนใจที่จะศึกษาวิจัยสมุนไพรพลูคาวเพิ่มเติม รวมกว่า 10 โครงการวิจัย เพื่อเป็นความหวังและต่ออายุให้กับผู้ป่วยมะเร็งในอนาคต

พลูคาวจึงนับว่าเป็นสมุนไพรพื้นบ้านอีกชนิดหนึ่งที่มีคุณค่า ซึ่งนอกจากจะใช้เป็นอาหารแล้ว ยังสามารถนำมาเป็นยารักษาและป้องกันโรค ช่วยเสริมสร้างสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงได้อีกด้วบ จึงเป็นสมุนไพรที่เหมาะสำหรับผู้ที่ใส่ใจดูแลสุขภาพเป็นอย่างยิ่ง

ขอขอบคุณ : หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์

วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2555

อาหารเช้าแสนอร่อยจากโฮลเกรน

ในบทความที่แล้วเราได้ทราบกันไปแล้วว่า"โฮลเกรน"คืออะไร และมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไรบ้าง สำหรับบทความนี้เราลองมาทำอาหารเช้าแบบง่าย ๆ จากโฮลเกรนกันดูบ้าง สำหรับคนส่วนใหญ่ อาหารเช้าเป็นมื้อแรกหลังจากเวลา 12 ชั่วโมงผ่านไป ระดับพลังงานของร่างกายในช่วงเวลานี้จึงต่ำ อาหารเช้าที่ดีมีความสำคัญทั้งต่อเด็กและผู้ใหญ่ ในการที่จะจัดการกับความรู้สึกและกิจกรรมในตอนเช้า อาหารเช้าจึงเป็นโอกาสที่ดีในการกิน "โฮลเกรน"ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็ได้ทั้งนั้น เช่น โจ๊ก ข้าวสวย ขนมปัง ซีเรียล เป็นต้น

เมนูอาหารแสนอร่อยจากโฮลเกรน
    











    
ส่วนผสม

ทูน่าสเต๊กในน้ำมันพืช            1 กระป๋อง
โจ๊กข้าวกล้อง          1/2 ถ้วยตวง
ซีอิ๊วขาว                   1 ช้อนโต๊ะ
พริกไทยป่น             1/2 ช้อนชา
กระเทียมสับ           1 ช้อนโต๊ะ
ขิงซอย     1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช                 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำซุป       1 ถ้วยตวง
น้ำเปล่า                   1 ถ้วยตวง
ต้นหอม ผักชีซอย       1 ช้อนโต๊ะ
      

วิธีทำ
      

1. ต้มโจ๊กข้าวกล้องกับน้ำเปล่าด้วยไฟ ปานกลาง พอเดือดหรี่ไฟลง เติมน้ำซุปต้มต่อให้มีลักษณะข้นเล็กน้อย ตักใส่ชาม
2. ตั้งกระทะใส่น้ำมัน นำกระเทียมลงเจียวให้หอม ใส่ทูน่า ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว พริกไทยป่น ผัดให้เข้ากันมีลักษณะแห้งเล็กน้อย 

3. ตักใส่ชามโจ๊กที่เตรียมไว้
4. โรยหน้าด้วยต้นหอม ผักชี ขิงซอย พร้อมเสิร์ฟ

คุณค่าน่ารู้

เมนูนี้นอกจากได้พลังงานจากข้าวกล้องแล้ว ยังได้วิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นจากข้าวกล้องด้วย แถมยังได้โปรตีนจากปลาทูน่า เหมาะที่จะเป็นเมนูสำหรับคุณหนู ๆ รวมถึงผู้ใหญ่ทั่วไป รับรองอิ่มสบายท้องไปจนถึงมื้อเที่ยงแน่นอน

วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2555

โฮลเกรนคืออะไร และมีประโยชน์อย่างไร

ในยุคที่คนเราหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้นอย่างในปัจจุบันนี้ มีคำอยู่คำหนึ่งที่เราอาจจะได้ยินจนคุ้นหูไปแล้ว คือคำว่า "โฮลเกรน (Whole Grains)"หลาย ๆ ท่านอาจจะนึกไม่ออกว่าเจ้า โฮลเกรน ที่แท้แล้วมันคืออะไร ก็ให้ลองนึกถึงเมล็ดข้าว หรือเมล็ดธัญพืชต่าง ๆ ที่คนรุ่นปู่ย่าตายายของเรารับประทานกัน ซึ่งสมัยก่อนยังไม่มีโรงสีหรือเทคโนโลยีที่ทันสมัยอย่างในปัจจุบัน ดังนั้นในการกระเทาะเมล็ดข้าวหรือธัญพืชต่าง ๆ อาจมีแค่ครกกับสาก การขัดสีจึงมีน้อยมากทำให้สารอาหารไม่สูญเสียไป เรียกได้ว่าเต็มเมล็ดเลยทีเดียว คนสมัยก่อนถึงได้สุขภาพดี ไม่ค่อยมีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียนยังงัยละครับ

โฮลเกรน (Whole Grains) คือ ธัญพืชเต็มเมล็ดไม่ผ่านการขัดสี หรือขัดสีน้อยที่สุด ยังคงส่วนประกอบสำคัญอยู่ครบถ้วน ได้แก่ เยื่อหุ้มเมล็ด เนื้อเมล็ด และจมูกข้าว ซึ่งเป็นส่วนที่มีคุณค่าโภชนาการสูงทั้งใยอาหาร วิตามิน แร่ธาตุ และไฟโตนิวเตรียนท์ หรือ สารต่อต้านอนุมูลอิสระต่างๆ ตัวอย่างของโฮลเกรน ได้แก่ ข้าวกล้อง ข้าวสาลี ข้าวโพด ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ ข้าวไรย์ ลูกเดือย

ธัญพืชที่ผ่านการขัดสี ส่วนเยื่อหุ้มเมล็ด และจมูกข้าว ซึ่งเป็นส่วนที่มีคุณค่าโภชนาการสูง จะหลุดออกไป เหลือเพียงเนื้อเมล็ด ส่วนโฮลเกรนจะอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่าง ๆ ครบถ้วนตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นเส้นใยอาหาร วิตามิน แร่ธาตุ และไฟโตนิวเตรียนท์ต่าง ๆ

ลักษณะพิเศษของโฮลเกรน มีความสำคัญอยู่หลายด้าน หนึ่งในนั้นคือ มีวิตามิน แร่ธาตุ ค่อนข้างจะครบถ้วน มีอยู่ในธรรมชาติ อันที่สองคือ ตัวไฟเบอร์หรือใยอาหาร กลไกของมันคือ พอร่างกายกินไปแล้วมันไม่ย่อยแล้วดูดซึม แต่มันอมน้ำ มีน้ำหนัก ไหลผ่านลำไส้ กระเพาะ ระหว่างที่มันไหลผ่าน มันไปลากเอาไขมัน ลากเอาสารก่อมะเร็ง ลากเอาน้ำตาลที่ติดไปไว้ที่ลำไส้ใหญ่แล้วก็ขับถ่ายออกไป กลไกตัวนี้แหละคือกลไกที่มหัศจรรย์ของใยอาหาร ถ้าเรากินอาหารโฮลเกรนในมื้อนั้นเสร็จแล้ว ประมาณครึ่งชั่วโมงมันก็ลากไปแล้ว มันก็ลากไปทุกมื้อๆ

ทั้งนี้ผลการวิจัยทางโภชนาการจำนวนมากมีการระบุถึง มหัศจรรย์คุณค่าสารอาหารที่มีอยู่มากมายในโฮลเกรน หากบริโภคโฮลเกรนเป็นประจำจะส่งผลดีโดยตรงกับทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในเด็กวัยเรียน พบว่า หากบริโภคโฮลเกรนเป็นอาหารเช้า ร่างกายจะย่อยอย่างช้าๆ และค่อยปลดปล่อยพลังงานออกมา จึงช่วยให้มีพลังงานอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะถึงมื้อกลางวัน ทำให้เด็กมีสมาธิในการเรียนสามารถเรียนรู้ได้ดี อย่างเต็มศักยภาพ

สำหรับเรื่องอ้วนมีข้อมูลสนับสนุนให้กิน "โฮลเกรน"(Whole Grains)อย่างน้อยมื้อละ 1 ออนซ์ให้ได้วันละ 3 มื้อ แทนธัญพืชที่ผ่านการขัดสีมาแล้วอย่างข้าวขาว ขนมปังขาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักเกิน เพราะช่วยให้ได้รับเส้นใยอาหารเพิ่มขึ้นจากการบริโภคผักและผลไม้

ประโยชน์ ของโฮลเกรนหรืออาหารธัญพืช คือ ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ความดันสูง โรคมะเร็งในทางเดินอาหาร โรคเบาหวานชนิดที่ 2 หรือช่วยป้องกันท้องผูก แต่ยังมีอีกส่วนน้อยเท่านั้นที่จะรู้ว่าถ้าหันมาบริโภคโฮลเกรน เป็นประจำจะทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้วที่สำคัญ จะช่วยให้ร่างกายกระชับ หุ่นเพรียวขึ้น เพราะเส้นใยและคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนในโฮลเกรนทำให้ร่างกายย่อยอาหารช้าลง จึงรู้สึกอิ่มนาน และมีผลต่อการลดน้ำหนักในระยะยาว งานวิจัย พบว่า หากกินอาหารโฮลเกรน 40 กรัมทุกวันจะทำให้น้ำหนักลดลงถึงเดือนละ 0.49 กิโลกรัม โดยไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม



ก็คงไม่แปลกที่ในปัจจุบันเราอาจจะเห็นเมล็ดธัญพืชไม่ข้ดสีมีขายกันอยู่มากมายตามห้างร้านต่าง ๆ ก็เพราะมันมีคุณประโยชน์มากมายอย่างนี้นี่เอง ยังงัยก็ลองหาซื้อมารับประทานกันบ้างนะครับ สุขภาพจะได้แข็งแรง ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บเหมือนคนรุ่นปู่ย่าตายายของเรายังงัยละครับ

ขอขอบคุณ ข้อมูลภาพจากอินเตอร์เน็ต

วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ลูกประคบสมุนไพร ภูมิปัญญาแพทย์แผนไทย

ในช่วงหลายปีมานี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า กระแสธรรมชาติบำบัดนั้นได้เข้าอยู่ในความสนใจของผู้คนมากมายจริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของแพทย์แผนไทยอย่างการนวดไทย การใช้สมุนไพรไทยก็กลับมาอยู่ในความสนใจ และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั้งในประเทศเราเอง และต่างประเทศ ซึ่งจะเห็นได้ว่าตามสถานที่ให้บริการการนวด หรือสปาต่าง ๆ ทั้งใน และต่างประเทศ ต่างก็แข่งขันเน้นที่การให้บริการนวดแบบไทย และการใช้สมุนไพรไทยกันอย่างเข้มข้นเลยทีเดียว

การประคบด้วยลูกประคบสมุนไพร ก็เป็นอีกหนึ่ภูมิปัญญาแพทย์แผนไทยที่อยู่ในความสนใจ และได้รับความนิยมสูงมากในปัจจุบันนี้ หมอพื้นบ้านหรือแพทย์แผนไทยนิยมนำสมุนไพรแบบ สดและแบบแห้งมาเป็นส่วประกอบที่สำคัญของลูกประคบสมุนไพร เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณบำบัดอาการของโรคทางกล้ามเนื้อ เส้นเอ็นผิวหนังสมุนไพรที่คลายอาการเกร็งของกล้ามเนื้อและเซลล์ที่อยู่ใต้ผิวหนัง ลดการตึงเครียดทำให้เส้นเอ็นหย่อนคลาย บรรเทาอาการปวดเมื่อย ลดการอักเสบ แก้เคล็ดขัดยอก ฟกช้ำดำเขียว บรรเทาอาการคันตามร่างกาย บำรุงผิว ช่วยรักษาเม็ดผดผื่นคันตามผิวหนัง ลูกประคบสมุนไพรสะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญาทางการแพทย์แผนไทยของบรรพบุรุษไทย ได้อย่างน่าทึ่งเลยทีเดียว

ต่อไปก็จะเป็นวิธีทำลูกประคบสมุนไพรแบบง่าย ๆ เผื่อเอาไว้ใช้เองที่บ้านนะครับ

ส่วนผสมสูตรลูกประคบสมุนไพรแบบสด (150 กรัม ต่อ 1 ลูก)
ไพล     30 กรัม
ขมิ้นชัน     20 กรัม
ขมิ้นอ้อย     10 กรัม
ใบมะกรูด     10 กรัม
ตะไคร้บ้าน     20 กรัม
ใบพลับพลึง     10 กรัม
ใบส้มป่อย     10 กรัม
ใบมะขาม     10 กรัม
ใบขี้เหล็ก     5 กรัม
พิมเสน     5 กรัม
การบูร     10 กรัม
เกลือแกง     10 กรัม

ส่วนผสมสูตรลูกประคบสมุนไพรแบบแห้ง (150 กรัม ต่อ 1 ลูก)
ผิวมะกรูด     20 กรัม
ไพล     20 กรัม
ผักเสี้ยนผี     20 กรัม
ข้าวคั่ว     20 กรัม
พิมเสน     20 กรัม
การบูร     40 กรัม
เกลือตัวผู้     10 กรัม


เตรียม สมุนไพรให้พร้อมก่อนลงมือปรุงตามสูตรลูกประคบสมุนไพร หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ โขลกพอแหลก นำสมุนไพรชั่งน้ำหนักแต่ละชนิดตามสูตรมาตรฐานที่กำหนดไว้นำส่วนผสมทั้งหมดของลูกประคบสมุนไพรมาคลุกเคล้าเข้าด้วยกัน เมื่อส่วนผสมเข้ากันดีแล้วให้นำมาทดสอบน้ำหนักรวมกันอีกครั้งหนึ่งนำส่วผสมสมุนไพรลูกประคบมาใส่ในผ้าดิบที่เตรียมไว้ ห่อเป็นลูกประคบสมุนไพร รัดด้วยเชือกให้แน่น พร้อมใช้ อาจจะห่อแบบง่าย ๆ หรือจะตกแต่งให้สวยงามย่าใช้ก็แล้วแต่จินตนาการของแต่ละท่านนะครับ

วิธีการใช้ลูกประคบสมุนไพร

นำ ลูกประคบสมุนไพร 2 ลูก ไปนึ่งในหม้อนึ่ง ประมาณ 15-20 นาที เมื่อลูกประคบสมุนไพรร้อนให้นำลูกแรกไปประคบตามจุดหรือตำแหน่งที่ต้องการ รักษา นำลูกประคบสมุนไพรลูกที่สอง ไปนึ่งในหม้อระหว่างที่ใช้ลูกประคบลูกแรก เมื่อลูกประคบลูกแรกเย็นลง นำลูกประคบลูกแรกกลับไปนึ่งใหม่อีกครั้ง นำลูกประคบสมุนไพรลูกที่สองมาใช้ประคบต่อไป ทำสลับกันไปมา การประคบต้องให้ลูกประคบร้อนอยู่ตลอดเวลา โดยทั่วไปใช้เวลาในการประคบประมาณ 15-20 นาที ต่อการประคบ 1 ครั้ง แต่ถ้ามีอาการเคล็ดขัดยอก อาจประคบได้วันละ 2 ครั้ง

นอกจากนี้การประคบสมุนไพรยังช่วยให้รู้สึกสดชื่น ผ่อนคลายจากกลิ่นของน้ำมันหอมระเหย ช่วยให้เกิดอาการตื่นตัวของร่างกาย เนื่องจากกลิ่นของสมุนไพรที่นำมารวมกัน

นี่ละครับภูมิปัญญาแพทย์แผนไทยของเรานับเป็นมรดกอันล้ำค่าที่น่าหวงแหนสำหรับคนรุ่นต่อ ๆ ไป

ขอขอบคุณ ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

วันพุธที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เมนูอาหารเพื่อสุขภาพจากเห็ด 5 ชนิด

เห็ด ได้เชื่อว่าเป็นผักที่ให้คุณค่าทางโภชการสูง มีวิตามินและแร่ธาตุต่างๆมาก มายโดยที่มีเกลือโซเดียมน้อย และเห็ดแต่ละชนิดมีสรรพคุณต่างๆที่มีประโยชน์ต่อร่างๆกาย เช่น เห็ดหอมมีสรรพคุณช่วยลดไขมันในเส้นเลือด เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ต่อต้านไวรัสและมะเร็ง เห็ดหูหนู ช่วยป้องกันการเกิดโรคกระเพาะ ช่วยระบบขับถ่ายดีขึ้น ป้องกันริดสีดวง เห็ดหูหนูขาวเสริมสร้างปอดให้แข็งแรงและมีผลดีกับไต เห็ดฟาง มีวิตามินเคช่วยสมานแผลและรักษาสมดุลความดันโลหิต เห็ดเหล่านี้มีประโยชน์มากมาย และยังรสชาติดีอีกด้วย


วันนี้มีเมนูอาหารจานสุขภาพจากเห็ดมาฝาก  ซึ่งเมนูประกอบไปด้วยเห็ดห้าชนิด คือ เห็ดหูหนู เห็ดหูหนูขาว เห็ดฟาง เห็ดหอมสด เห็ดนางฟ้า เห็ดที่กล่าวมาข้างต้น เป็นอาหารที่มีคอเลสเตอรอลน้อย รสชาติอร่อย และยังไขมันต่ำอีกด้วย

ส่วนผสม : เมนูอาหารเพื่อสุขภาพ : ยำเห็ดห้าสหาย
กุ้งสด 3 ขีด
เห็ดฟางผ่าสี่ 1 ขีด
เห็ดหอมสดผ่าสี่ 1 ขีด
เห็ดนางฟ้าฉีกตามยาว 1 ขีด
เห็ดหูหนูขาวแช่น้ำพอนิ่ม 1 ขีด
เห็ดหูหนูสด หั่นเป็นชิ้นๆ 1 ขีด
หอมใหญ่หั่นตามยาว 1/2 ถ้วย
ขึ้นฉ่ายตัดเป็นท่อนๆ 1/4 ถ้วย
น้ำมะนาว 1/2 ถ้วย
น้ำปลา 1/2 ถ้วย
น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
พริกขี้หนูหั่น 1 ช้อนโต๊ะ
ผักชี ใบสะระแหน่เด็ดเป็นช่อๆ 1/4 ถ้วย


วิธีทำอาหาร


1. แช่กุ้งในน้ำและล้างให้สะอาด ผ่าหลังกุ้งและปอกเปลือก นำกุ้งไปลวกในน้ำเดือดจากสุกเป็นสีส้ม หลังจากนั้นน้ำเห็ดที่ล้างแล้วมาลวกโดยการลวกทีละอย่าง เห็ดหูหนูขาวใช้เวลาในการลวกไม่นาน เมื่อลวกเห็ดเสร็จ ก็ทำน้ำของยำ การผสมน้ำตาล พริกขี้หนู น้ำมะนาว น้ำปลา คลุกเคล้าจนเข้ากัน ชิมรสชาติและปรุงรสตามชอบ
   
2. นำเห็ดที่ลวกแล้วทั้งหมด มาคลุกกับผักขึ้นฉ่าย กุ้งที่ลวกแล้ว และหอมใหญ่ซอย ตามด้วยราดน้ำยำ โรยหน้าด้วยใบสาระแหน่กับผักชีก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย....

เมนูอาหารเพื่อสุขภาพ : ยำเห็ดห้าสหาย เป็นอาหารที่มีคอเลสเตอรอลต่ำ แถมรสชาติอร่อยอีกด้วย