วันพุธที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ผักบุ้ง พืชสารพัดประโยชน์

เมื่อตอนเราเป็นเด็ก เราอาจจะเคยได้ยินผู้ใหญ่พูดกันบ่อย ๆ ว่ากินผักบุ้งแล้วจะทำให้ตาหวาน อันนี้เขาไม่ได้พูดกันเล่น ๆ หรือหลอกให้เด็ก ๆ กินผักกันนะครับ แต่มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็เพราะในผักบุ้งนั้นมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อดวงตา และร่างกายของเราอยู่อย่างมากมายนั่นเอง ปกติแล้วผักบุ้งนั้นเป็นผักที่หารับประทานกันได้ง่าย ๆ มีให้รับประทานกันตลอดทั้งปี และราคาก็ถูกแสนถูกเมื่อเทียบกับผักชนิดอื่น ส่วนรสชาดก็ไม่เลวเลยทีเดียว ซึ่งจะเห็นได้ว่าผักบุ้งนั้นประกอบอยู่ในเมนูอาหารเด่น ๆ หลายอย่างเลยทีเดียว เช่น ผัดผักบุ้งไฟแดง แกงเทโพ ปลาหมึกผผักบุ้ง หรือรับประทานสดเป็นเครื่องเคียงอาหารยอดนิยมอย่างส้มตำ หรือเป็นผักจิ้มน้ำพริกต่าง ๆ เป็นต้น

ผักบุ้งมีประโยชน์ต่อดวงตาของคนเรามาก เพราะในผักบุ้งนั้นมี "สารเบต้าแคโรทีน" สูงอันเป็นแล่งที่มาของวิตามินเอในปริมาณสูงเช่นกัน ซึ่งจะช่วยบำรุงสายตาทำให้ดวงตามีน้ำหล่อเลี้ยง เป็นประกายสวยงาม ไม่แสบ หรือรู้สึกแห้งในตา ตลอดจนลดความเสี่ยงของโรคตาต้อกระจก และสายตาฟ่าฟางได้เช่นกัน ทั้งนี้สารเบต้าแคโรทีนที่มีมากในผักบุ้งยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้ด้วย นอกจากนี้ผักบุ้งยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ อีกหลายชนิด เช่นธาตุเหล็กที่ช่วยบำรุงเลือด แคลเซียม และฟอสฟอรัสที่ช่วยบำรุงกระดูกและฝัน เป็นต้น ในผักบุ้งมีสารชนิดหนึ่งที่มีโครงสร้างคล้ายอินซูลินที่สามารถลดน้ำตาลในกระแสเลือด ดังนั้นผักบุ้งจึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานด้วยเช่นกัน และผักบุ้งยังช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี เพราะผักบุ้งมีใยอาหารในปริมาณสูงนั่นเอง เรียกได้ว่าคุณประโยชน์ของผักบุ้งนั้นมีมากมาย เหมาะกับคนทุกวัยเลยทีเดียว

ผักบุ้งที่นิยมรับประทานกันในบ้านเรามีอยู่ 2 ประเภท คือ ผักบุ้งไทย และผักบุ้งจีน ผักบุ้งไทยจะมีสรรพคุณทางยามากกว่าผักบุ้งอื่น แต่สำหรับผักบุ้งจีนจะมีแคลเซี่ยม และเบต้าแคโรทีน มากกว่าผักบุ้งอื่น

นอกจากผักบุ้งจะให้คุณค่าทางโภชนาการสูงแล้ว ในทางแพทย์แผนไทยถือว่าผักบุ้งนั้นมีสรรคุณทางยาอยู่มากมายอีกด้วย  ผักบุ้งไทยต้นขาวทั้งลำต้น ดอก ใบ และรากนั้นในแต่ละส่วนจะให้สรรพคุณทางยาแตกต่างกันออกไปดังนี้

ส่วนของดอก: ใช้เป็นยาแก้กลากเกลื้อน
ส่วนของลำต้นสด: ใช้ดับพิษ รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ลดอาการแพ้ อักเสบ ปวด บวม  เป็นยาดับร้อน แก้ปัสสาวะเหลือง บำรุงโรคประสาท แก้ปวดศรีษะ
อ่อนเพลีย  แก้เหงือกบวม แก้ฟกช้ำ ถอนพิษ
ส่วนของใบ: ใช้ถอนพิษแมลงสัตว์กัดต่อย นำใบสดมาตำ แล้วคั้นเอาน้ำมาดื่ม จะทำให้อาเจียน ถอนพิษยาเบื่อเมา แก้พิษของฝิ่นและสารหนู
ส่วนของราก: ใช้แก้ไอเรื้อรัง แก้โรคหอบหืด ถอนพิษผิดสำแดง ใช้แก้สตรีมีตกขาวมาก ขัดเบา เหงื่อออกมาก ลดอาการบวม และผักบุ้งยังเป็นผักที่มีฤทธิ์เย็นจึงช่วยบรรเทาอาการร้อนในได้


สำหรับเรื่องความสวยความงามแล้ว ผักบุ้งไม่เพียงแต่บำรุงดวงตาให้สวยสดใสเป็นประกายเท่านั้น แต่ผักบุ้งยังเป็นผักอีกชนิดที่มี "สารต้านอนุมูลอิสระ"ในปริมาณสูงซึ่งสามารถช่วยชลอความแก่  ชลอการเกิดริ้วรอย แถมยังเป็นผักที่มีใยอาหารสูงช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ ระบบขับถ่ายดีก็จะทำให้ผิวพรรณสดใส มีน้ำมีนวล และยังเหมาะกับผู้ต้องการลดน้ำหนักด้วยเช่นกัน

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ฟักทอง จอมพลังสีเหลือง

หลาย ๆ คนคงได้เคยรับประทานอาหารไทยรสเลิศ ทั้งคาวหวาน ที่ปรุงจากฟักทองกันมาบ้างไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะเป็นฟักทองผัดกุ้ง ฟักทองผัดไข่ แกงเลียงฟักทองหรืออาหารหวานยอดนิยมอย่าง สังขยาฟักทอง แม้กระทั่งแกงบวดฟักทอง(หรือฟักทองบวชชี) ซึ่งอันที่จริงแล้วฟักทองไม่ได้ให้คุณค่าเพียงรสชาดหวานเนียนนุ่ม ละมุนลิ้นในเมนูอาหารเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เจ้าพืชสีเหลืองชนิดนี้ยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ และสรรพคุณทางยามากมายเลยทีเดียว แทบจะเรียกได้ว่าทุกส่วนของฟักทองนั้นมีประโยชน์ทั้งสิ้นก็ว่าได้

ในเนื้อฟักทองนั้น มีวิตามินเอสูง รวมทั้งฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี แป้ง และที่สำคัญคือสาร "เบต้าแคโรทีน" สารต้านอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสารสีเหลืองที่อยู่ในฟักทอง ซึ่งสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหัวใจได้ และสารเบต้าแคโรทีน ยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชลอความชรา และป้องกันโรคผิวหนัง บรรเทาอาการปวดเมื่อยของข้อเข่า และบั้นเอวได้เป็นอย่างดี

การรับประทานฟักทองทั้งเปลือกนั้นจะได้รับคุณค่าทางอาหารมากว่ารับประทานแบบปอกเปลือก เพราะในเปลือกฟักทองนั้นมีสารอาหาร และสรรคุณทางยามากมาย ซึ่งสามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลินในร่างกาย เป็นการช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง บำรุงตับ บำรุงไต บำรุงดวงตา และสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายไป ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในยอดอ่อนของฟักทองก็มีวิตามินเอสูงเท่ากับเนื้อฟักทอง แต่มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในเนื้อฟักทอง

ส่วนใครที่ชอบแทะเมล็ดฟักทองเล่นในยามว่าง ก็รับประโยชน์ไปเต็ม ๆ เพราะในเมล็ดฟักทองประกอบด้วยแป้ง ฟอสฟอรัส โปรตีนและวิตามิน รวมทั้งสารที่ชื่อว่า "คิวเคอร์บิติน" (cucurbitine) ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าพยาธิตัวตืดได้ดี และยังช่วยขับปัสสาวะ ลดความเสี่ยงในการเกิดนิ่ว มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ นอจากนี้ น้ำมันจากเมล็ดฟักทองยังช่วยบำรุงประสาทได้ดี และยังมีกรดอะมิโนบางชนิดที่ช่วยป้องกันไม่ให้ต่อมลูกหมากของผู้ชายขยายใหญ่ขึ้น และช่วยปรับระดับฮอร์โมนเพศชายที่ได้จากลูกอัณฑะให้อยู่ในระดับปกติ นอกจากนั้นเยื่อกลางผลของฟักทอง ยังสามารถนำมาพอกแผล แก้อาการฟกช้ำ อาการปวด อักเสบได้อีกด้วย

และแน่นอนที่สุด ในเรื่องของความสวยความงามฟักทองก็ช่วยได้เป็นอย่างดี อย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่าฟักทองนั้นมีสารเบต้าแคโรทีน สารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชลอความแก่ ตลอดจนวิตามินต่าง ๆ ในปริมาณสูงซึ่งจะช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณสดใส แข็งแรง มีน้ำมีนวล และเพราะฟักทองเป็นพืชที่มีกากใยสูง และมีแคลอรีไม่ต่ำ ไขมันน้อย จึงเหมาะสำหรับคุณผู้หญิงที่ต้องการควบคุมน้ำหนักด้วยเช่นกัน

นี่ละครับจอมพลังสีเหลืองของเรา นอกจากความอร่อยแล้วยังให้คุณค่าทางโภชนาการอีกมากมาย แถมราคาก็ไม่ได้แพงอะไรมากมาย ก็หามาประกอบอาหารรับประทานกันได้ง่าย ๆ

วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

มะละกอ ผลไม้ครบคุณประโยชน์

มื่อเอ่ยชื่อ "มะละกอ"หลาย ๆ ท่านอาจจะจินตนาการไปไกลถึงอาหารยอดนิยมของคนไทยอย่าง "ส้มตำ" หรืออาจจะจินตนาการเลยเถิดไปถึงข้าวเหนียวไก่ย่าง เครื่องเคียงคู่ใจส้มตำไห้น้ำลายไหลไปเลยก็ได้ จะว่าไปแล้วนับเป็นความโชคดีที่คนไทยรู้จักใช้ภูมิปัญญา นำผลไม้ที่มีคุณค่าทางอาหาร และสรรพคุณทางยาอย่างมะละกอมาประกอบเป็นอาหารโดยเฉพาะส้มตำ ซึ่งคนไทยนิยมรับประทานกันทั่วทุกภาคของประเทศ แถมยังเป็นอาหารไทยที่โด่งดังไกลไปทั่วโลกอีกด้วย หลาย ๆ ท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าในรสชาดอันจัดจ้าน อร่อยถูกปากของส้มตำที่ใช้มะละกอดิบ ๆ มาเป็นส่วนประกอบหลักนั้นแฝงไปด้วยคุณค่าทางอาหาร และสรรพคุณทางยาอย่างมากมายเลยทีเดียว ซึ่งตามตำราสมุนไพรไทยมะละกอดิบนั้นสามารถใช้เป็นยาระบายอ่อนๆ และช่วยขับปัสสาวะ แก้ไข้รากสาด และยังมีสรรพคุณเป็นยาถ่ายพยาธิได้อีกด้วย

การรับประทานมะละกอสุกเป็นประจำจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารต่าง ๆ ที่เป็นปแระโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เพราะในมะละกอสุกนั้นอุดมไปด้วย วิตามินเอซึ่งช่วยบำรุงสายตา ผม เหงือกและฟัน วิตามินซี ช่วยป้องกันและรักษาโรคหวัด โรคมะเร็ง โรคลักปิดลักเปิด เลือดออกตามไรฟันและใต้ผิวหนัง ช่วยชลอความแก่  สารเบต้าเคโรทีน ซึ่งช่วยต้านมะเร็ง ช่วยให้ผิวพรรณสดใสลบริ้วรอยสิวฝ้า แคลเซี่ยม ทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง ป้องกันโรคกระดูกพรุน ฟอสฟอรัสและธาตุเหล็กช่วยสร้างกระดูกและฟัน ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง มะละกอสุกนั้นยังประกอบไปด้วยเส้นใยช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี แก้ท้องผูก ป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ด้วย นอกจากนี้ยังสามารถนำมะละกอสุกมาทำเป็นน้ำมะละกอใช้ดื่มหลังอาหารจะช่วยย่อยอาหาร เพราะในเนื้อมะละกอนี้จะมีเอนไซม์ช่วยย่อยสารโปรตีนที่ชื่อว่า "ปาเปอีน" ไม่เพียงเท่านี้ น้ำมะละกอยังช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร ช่วยให้การทำงานของลำไส้ดีขึ้น ทำความสะอาดไต ช่วยให้เลือดแข็งตัว และยังเป็นยาระบายอ่อนๆอย่างดีอีกด้วย
        
สำหรับในเรื่องความสวยความงามแล้วมะละกอก็ไม่เป็นสองรองผลไม้อื่น ๆ เหมือนกัน เพราะนอกจากสารเบต้าแคโรทีนและวิตามินซี ซึ่งช่วยให้ผิวพรรณสดใสลบริ้วรอยสิวฝ้า และช่วยชลอความแก่อย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว มะละกอยังสามารถนำมาพอกหน้า เพื่อช่วยขัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ลดฝ้ากระ และช่วยให้ผิวหน้าเนียนนุ่มได้อีกด้วย โดยคุณแค่นำเนื้อมะละกอสุกมาปั่นให้ละเอียด ผสมกับน้ำผึ้งประมาณ 1 ช้อนชา แล้วนำมาพอกหน้า โดยเว้นรอบดวงตา ทิ้งไว้ 15-20 นาที แล้วล้างออก ด้วยน้ำอุ่น จะรู้สึกผิวหน้าเต่งตึงและสดชื่นขึ้น และยังช่วยลดฝ้ากระได้ดีอีกด้วย

ก็ครบเครื่องเหมือนกันสำหรับผลไม้ทีชื่อ"มะละกอ"ทั้งด้านสุขภาพและความงาม แถมยังอร่อยด้วยไม่ว่ามันจะอยู่ในรูปของส้มตำหรือผลไม้สดก็ตาม

ขอขอบคุณ หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

วันอังคารที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

แอปเปิ้ล ผลไม้มากคุณค่า ที่มาพร้อมความอร่อย

ถ้าให้นึกถึงผลไม้ที่มีรสชาด หวานฉ่ำ หอม กรอบอร่อยสักชนิดละก็ ผมคิดว่าหลายท่านคงจะมีผลไม้ที่ชื่อ "แอปเปิ้ล"อยู่ในใจอย่างแน่นอน ปัจจุบันนอกจาการรับประทานแอปเปิ้ลแบบผลสดแล้ว เราอาจจะเห็นว่ามีการนำแอปเปิ้ลมาประกอบอาหารกันมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เค้กแอปเปิ้ล พายแอปเปิ้ล พวกสลัดต่าง ๆ หรือนำมาคั้นเป็นเครื่องดิ่ม แม้กระทั่งไวน์แอปเปิ้ลบางท่านอาจจะเคยดื่มมาแล้วก็ได้ ซึ่งความจริงแล้วแอปเปิ้ลไม่ได้สนองลิ้นในเรื่องของรสชาความอร่อยแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารและสรรพคุณทางยอย่างเหลือเชื่อเลยทีเดียว 

ท่านที่ชอบรับประทานแอ็ปเปิ้ล ท่านปอกเปลือกก่อนรับประทานหรือเปล่า ท่านทราบหรือไม่ว่าในแอปเปิ้ลที่ไม่ปอกเปลือกนั้น อุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่และสารอาหารที่มีประโยชน์อีหลายชนิด ทั้งวิตามินเอ บี 1 บี 2 บี 6 ไบโอติน กรดโฟลิก กรดแพนโทเธอนิค เกลือแร่ คลอไรด์ เหล็ก ทองแดง แมกกานีส แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม ซิลิคอน และยังมีกรดอินทรีย์ 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ซึ่งช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมันสารอาหารเหล่านี้ มีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน โดย เฉพาะวิตามินซี และสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบมากในแอปเปิ้ล จะช่วยป้องกันโรคหัวใจในผู้ที่รับประทานเป็นประจำ

แอปเปิ้ลยังช่วยควบคุมน้ำหนักเพราะมีแป้งและ น้ำตาลถึง 75% ซึ่งเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวที่ร่างกายดูดซึมและนำไปใช้ประโยชน์ได้ในเวลา ไม่เกิน 10 นาทีดังนั้นความอยากอาหารจึงลดลงทั้งทำให้ไม่รู้สึกหงุดหงิดและอ่อนเพลียระหว่าง รอเวลาอาหารมื้อใหญ่ แต่แอปเปิ้ลผลสด ๆ เท่านั้นที่มีสรรพคุณนี้ การดื่มน้ำแอปเปิ้ลไม่ทำให้หายหิวแต่จะทำให้น้ำหนักเพิ่มด้วย ทั้งนี้พลังงานที่ได้จากแอปเปิ้ลมีลักษณะพิเศษที่น่าสนใจคือ แอปเปิ้ลจะให้พลังงานค่อนข้างต่ำและค่อยเป็นค่อยไป เพราะแหล่งพลังงานของแอปเปิ้ลคือ น้ำตาลฟรักโทสซึ่งเป็นน้ำตาลที่เปลี่ยนรูปเป็นพลังงานอย่างช้า ๆ ในร่างกายช่วยให้ไม่รู้สึกหิว อิ่มนาน ผลที่ตามมาคือ ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ไม่สูงเร็วเหมือนกินขนมหวาน จึงเหมาะกับคนไข้เบาหวานด้วยเช่นกัน

นอกกจากนี้การกิน แอปเปิ้ลวันละ 2-3 ผลช่วยลดปริมาณคลอเลสเตอรอลในเส้นเลือด แต่จะได้ผลมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แอปเปิ้ลลดคลอเลสเตอรอลในผู้หญิงได้ดีกว่าผู้ชาย ซึ่งคณะวิจัยมหาวิทยาลัยพอลซาบาทิเอร์ เมืองตูลูส ฝรั่งเศส ทดลองในอาสาสมัครวัยกลางคนทั้งผู้หญิงและผู้ชาย 30 คน โดยให้กินอาหารเหมือนเดิมทุกประการ แต่กินแอปเปิ้ลด้วยวันละ 3 ผล ทุกวัน เป็นเวลา 1 เดือน พบว่าอาสาสมัคร 24 คน มีปริมาณคลอเลสเตอรอลในเลือดลดลง บางคนลดมากกว่า 10% และเมื่อกรดในทางเดินอาหารย่อยสลายไขมันแยกคลอเลสเตอรอลออกมาแล้ว เพคตินจะคอยดักจับคลอเลสเตอรอลเหล่านั้นนำไปทิ้งก่อนจะถูกดูดกลับเข้าสู่ ร่างกายเป็นการขจัดคลอเรสเตอรอลออกไป

เอาละครับทีนี้มาดูคุณประโยชน์ของแอปเปิ้ลโดยแบ่งตามสีกันบ้าง ตรงนี้อาจจะถูกใจคุณผู้หญิง เพราะช่วยในเรื่องของผิวพรรณได้เยอะทีเดียว

แอปเปิ้ลแดง - มีจุดเด่นที่ดีต่อสุขภาพคือมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์มากที่สุด และยังมีอิลาตินและคอลลาเจนที่ช่วยให้ผิวแข็งแรง ยืดหยุ่น และชุ่มชื่นอีกด้วย

แอปเปิ้ลเขียว – มีรสเปรี้ยวอมหวานมากกว่าแอปเปิ้ลสีอื่นๆ เป็นสีที่ดีที่สุดในการใช้เป็นอาหารลดน้ำหนัก เพราะมีน้ำตาลน้อยและยังมีอิลาสตินและคอลลาเจนที่ช่วยให้ผิวแข็งแรงและ ยืดหยุ่นได้ดี

แอปเปิ้ลชมพู – มีสารฟิโนลิกมากที่สุดในบรรดาแอ๊ปเปิ้ลด้วยกัน ซึ่งสารฟิโนลิกนี้จะช่วยยับยั้งการเกิดฝ้าและชะลอความแก่ นอกจากนั้นยังมีฟลาโวนอยด์ที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินซีทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแข็งแรง ลดการอักเสบ ลดไข้ รวมทั้งช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้อีกด้วย

แอปเปิ้ลเหลือง – มีประโยชน์ต่างจากสีอื่น ๆ โดยมีสารเควอร์ซิตินที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และต้อกระจก

ทราบอย่างนี้แล้ว รับประทานแอปเปิ้ลครั้งต่อไปก็อย่าปอกเปลือกทิ้งก็แล้วกันนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

กล้วยหอม ผลไม้ให้พลังงานสูง

ใคร ๆ ที่เป็นแฟนกีฬา อย่างการแข่งขันเทนนิสระดับโลก อาจจะเคยเห็นนักกีฬาเขานั่งแทะกล้วยหอมเล่นอยู่บ่อย ๆ ในช่วงพักระหว่างการแข่งขัน อันนี้ไม่ใช่นักกีฬาเขาเป็นคนกินจุบกินจิบ หรือเกิด
อาการหิวขึ้นมาโดยไม่รู้จักเวล่ำเวลาแต่อย่างใดนะครับ แต่เป็นเพราะเหตุผลที่ว่าในกล้วยหอมนั้นมีสารน้ำตาลอยู่ 3 ชนิด คือ ซูโครส  ฟรักโทส  และกลูโคส ซึ่งให้พลังงานแก่ร่างกายสูง และพร้อมนำไปใช้ทันที โดยมีรายงานวิจัยยืนยันว่า กล้วยหอม 2 ใบให้พลังงานเพียงพอต่อการทำงานถึง 90 นาที ซึ่งทำให้นักกีฬารู้สึกกระปรี้กระเปร่า และไม่เหนื่อยล้าง่ายยังไงละครับ นอกจากสารน้ำตาลที่ให้พลังงานสูงทั้ง 3 ชนิดแล้ว กล้วยหอมยังเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยเส้นใย ตลอดจนวิตามิน และแร่ธาตุต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อร่างกายอีกมากมาย แล้วมันจะช่วยในเรื่องของสุขภาพและความงามได้อย่างไรบ้าง ไปดูกันเลยครับ

อย่างที่ได้กล่าวเอาไว้ข้างต้นแล้วนะครับว่า กล้วยหอมเป็นพืชที่มีเส้นในสูง เส้นใยในกล้วยหอมจึงช่วยให้การย่อยของลำไส้เล็กทำงานดีขึ้น ระบบขับถ่ายในร่างกายทำงานได้ดีลดปัญหาท้องผูก และสารลดกรดตามธรรมชาติที่มีอยู่ยังช่วยลดอาการจุกเสียดแน่นท้อง แต่อีกด้านกรดต่างๆ ที่มีอยู่ทำให้มีการเคลือบผิวของกระเพาะ ลดการเป็นแผลในกระเพาะได้ นอกจากนี้ ธาตุเหล็กในกล้วยหอมยังช่วยกระตุ้นร่างกายให้ผลิตเฮโมโกลบินในกระแสโลหิต หยุดยั้งภาวะโลหิตจางได้ ส่วนที่เกี่ยวกับความดันโลหิต กล้วยหอมมีเกลือโพแทสเซียมเหลืองอยู่มาก เป็นตัวช่วยลดความดันเลือด ระดับที่หน่วยงานด้านอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาอนุมัติให้เป็นผลไม้ที่มีส่วนช่วยลดภาวะความเสี่ยงความดันโลหิตได้จริง

ในกล้วยหอมมี tryptophan ซึ่งเป็นกรดอะมิโนโปรตีนชนิดหนึ่ง ซึ่งร่างกายแปลงเป็น serotonin สารกระตุ้นที่ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายอารมณ์สดใสและมีความสุขมากยิ่งขึ้น จากการสำรวจสุ่มตัวอย่างจากคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า พบว่าส่วนใหญ่จะรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้กินกล้วยหอม ขณะที่ในสตรีช่วงก่อนมีประจำเดือน อารมณ์จะหงุดหงิดง่าย  และก่อให้เกิดสภาวะต่อร่างกาย เช่น ปวดท้อง ปวดหัว ฯลฯ การกินกล้วยหอมช่วยได้ระดับหนึ่งเช่นกัน นอกจากนั้นการกินกล้วยหอมสัก 1 - 2 คำ ระหว่างมื้อเช้า เที่ยงหรือเย็น ยังทุเลาอาการแพ้ท้องได้ เพราะสารวิตามินในกล้วยหอมจะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเส้นเลือด และทำให้กระเพาะอาหารอยู่ในสภาวะที่พร้อมทำงานได้เร็วขึ้น

การรับประทานกล้วยหอมสุกเป็นประจำจะทำให้ร่างกายได้รับสารเพ็กติน โปรตีน วิตามินเอ วิตามินซี รวมถึงธาตุฟอสฟอรัสและแคลเซียม บำรุงสายตาให้มองเห็นได้ชัดเจนขึ้น ยับยั้งการเกิดโรคต่างๆ ในช่องปาก ลดการเกิดตะคริว และกล้วยหอมเป็นผลไม้เย็น ผ่อนร้อนได้ กล้วยหอมยังมีประสิทธิภาพช่วยผู้ที่ต้องการเลิกบุหรี่ เพราะวิตามินบี 6 บี 12 โพแทสเซียมและแมกนีเซียมที่มีอยู่มาก ช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วจากการขาดสารนิโคติน ส่วนภายนอก บรรเทาแผลยุงกัด หลังยุงกัดจนเกิดตุ่มแดง ก่อนใช้ยาทาลองใช้เปลือกกล้วยหอมด้านในถูบริเวณที่ถูกยุงกัด ช่วยลดอาการคันหรือบวมได้

นอกจากนี้ ยังมีผลงานวิจัยจากต่างประเทศ เกี่ยวกับกล้วยหอมอีกมาย ตัวอย่างเช่น

อ้วนจากทำงานมากเกินไป กล้วยหอมก็ช่วยได้ สถาบันจิตวิทยาในออสเตรียศึกษาและพบว่า ความเครียดจากที่ทำงานทำให้คนกินช็อกโกแลตและพวกโปเตโตชิพส์มากเกินไป และนั่นทำให้น้ำหนักเพิ่มมากขึ้น แต่ถ้าเปลี่ยนมาเป็นกินกล้วยหอมสักเล็กๆ น้อยๆ ประมาณทุกๆ 2 ชั่วโมง จะช่วยปรับระดัน้ำตาลในเลือดและลดการอยากกินของจุกจิก
 
เสริมสร้างพลังสมอง ข้อนี้อ้างอิงจากงานวิจัยอังกฤษที่ระบุว่า ในแคว้นมิดเดิลเซกส์ มีนักเรียนจำนวน 200 คนจากโรงเรียนทวิกเคนแนม บอกว่าสอบผ่านเพราะได้กินกล้วยหอมเป็นอาหารเช้า รวมทั้งกินอีกนิดหน่อยในตอนมื้อเที่ยงเพื่อทำให้สมองสดชื่น โดยงานวิจัยพบว่าโพแทสเซียมในกล้วยหอมช่วยนักเรียนให้ตื่นตัวอยู่เสมอ

สำหับคุณผู้หญิงแล้ว นอกจากผิวพรรณจะสดใส เปล่งปลั่ง จากการรับประทานกล้วยหอมที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารมากมายแล้ว ยังสามารถนำกล้วยหอมมาพอกบำรุงผิวหน้าได้อีกด้วย โดยนำกล้วยหอมสุก 1 ผลมาบดเข้ากับไข่แดง ผสมน้ำผึ้งบริสุทธิ์ 1 ช้อนชา คนให้เข้ากัน จากนั้นนำไปพอกทั่วใบหน้า คอ และไหล่ แล้วทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที จากนั้นค่อย ๆ เช็ดหน้าด้วยผ้าสะอาดโดยไม่ต้องล้างออก จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื่น คืนความสดใสให้กับใบหน้าได้เป็นอย่างดี

เห็นมั้ยละครับ กล้วยหอมผลไม้ธรรมดา ๆ ที่มีขายกันเกลื่อนตามท้องตลาดทั่วไป แต่กลับมีคุณประโยชน์มากมายอย่างที่คิดไม่ถึงกันเลยทีเดียว เพราะฉนั้นหาซื้อติตบ้านไว้รับประทานบ้างก็ดีเหมือนกันนะครับ แต่อย่านำกล้วยหอมไปใส่ตู้เย็นนะครับ เพราะคุณอาจไม่เหลือความทรงจำดี ๆ เกี่ยวกับกล้วยหอมอีกเลยก็ได้

ขอขอบคุณ หนังสือพิมพ์ข่าวสด

วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

มะเขือเทศ กับสารต้านอนุมูลอิสระชนิดเข้มข้น

อย่างที่กล่าวเอาไว้ในบทความที่แล้วนะครับว่า ผักผลไม้ต่าง ๆ ในธรรมชาตินั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระ ตลอดจนวิตามิน และแร่ธาตุต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่ากาย อยู่มากมาย "มะเขือเทศ"ก็เช่นเดียวกัน เจ้าผัก (หรือผลไม้ดี)สีสันสวยสด รูปร่างน่ารัก ๆ นี้ ใครจะไปเชื่อละครับว่าจะอุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารมากมายเสียจริง ๆ แต่ก่อนที่จะไปดูประโยชน์ของมัน เรามาดูประวัติส่วนตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเจ้ามะเขือเทศ พอให้รู้หัวนอนปลายเท้ากันก่อนดีกว่าครับ


มะเขือเทศที่เห็น ๆ กันอยู่ในบ้านเรานั้นถือว่าเป็นชาวมะเขือเทศโพ้นทะเลก็ว่าได้ เพราะความจริงแล้วมะเขือเทศนั้นเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในแถบอเมริกากลาง และอเมริกาเหนือ ในบางประเทศเขาจัดมะเขือเทศอยู่ในหมวดหมู่ผลไม้นะครับ แต่ในทางยุโรปเขาจัดอยู่ในหมวดหมู่ของผัก เพราะมันชอบขึ้นไปอยู่ในจานอาหารของชาวยุโรป ไม่ว่าจะเป็นสลัด แฮมเบอร์เกอร์  หรืออะไรก็แล้วแต่เนี่ยนะครับ มะเขือเทศจัดเป็นพืชล้มลุกอายุเพียง 1 ปี ลำต้นตั้งตรง มีลักษณะเป็นพุ่ม มีขนอ่อน ๆ ปกคลุม ใบเป็นใบประกอบ ออกสลับกัน ใบย่อยมีขนาดไม่เท่ากัน บางใบเล็กรียาว บางใบกลมใหญ่ ปลายใบแหลม ขอบใบเป็นหยักลึกคล้ายฟันเลื่อยมีขนอ่อน ๆ ออกดอกเป็นช่อหรือดอกเดี่ยว บริเวณซอกใบ ดอกมีสีเหลือง มีกลีบเลี้ยงสีเขียวประมาณ 5-6 กลีบ ผลเป็นผลเดี่ยว มีขนาดรูปร่างและสีต่างกัน ซึ่งมีขนาดเล็กประมาณ 3 เซนติเมตร จนถึงใหญ่ประมาณ 10 เซนติเมตร รูปร่างมีทั้งกลม กลมแบน หรือกลมรี ผิวนอกลีบเป็นมัน ผลดิบมีสีเขียว หรือเขียวอมเทา เมื่อสุกจะมีสีเหลือง สีส้ม หรือสีแดง เนื้อภายในฉ่ำด้วยน้ำมีรสเปรี้ยว เมล็ดมีเป็นจำนวนมาก เอาละครับ ได้ทราบประวัติส่วนตัวย่อ ๆ ของเจ้ามะเขือเทศกันไปแล้ว ต่อไปผมจะเล่าถึงคุณประโยชน์ของมะเขือเทศในเวอร์ชั่นง่าย ๆ ไร้ศัพท์ทางวิชาการใด ๆ ให้เวียนหัวทั้งสิ้น


เคยสงสัยกันบ้างไหมครับว่าทำไมมะเขือเทศมันถึงได้เข้าไปอยู่ในเมนูอาหารต่าง ๆ มากมายซะเหลือเกิน คงไม่ใช่เพียงเพื่อความสวยงามอย่างเดียวละมังครับ แต่ความจริงแล้วมะเขือเทศนั้นมีกรดอะมิโนที่ชื่อว่า "กลูตามิก"ในปริมาณสูง ซึ่งกรดอะมิโนตัวนี้เป็นกรดอะมิโนตัวเดียวกับที่มีอยู่ในผงชูรส จึงทำให้อาหารที่มีมะเขือเทศเป็นส่วนประกอบ มีรสชาดอร่อยยังไงละครับ  นอกจากนี้มะเขือเทศยังมีสาร "ไลโคปีน"ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดเข้มข้น ถ้ารับประทานมะเขือเทศเป็นประจำสามารถลดควาเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งลำไส้ได้ มะเขือเทศมีวิตามินเอสูงช่วยบำรุงสายตา มีสารยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา จึงช่วยในเรื่องของโรคที่เกิดจากเชื้อราได้ มะเขือเทศมีฤทธ์ในการขับปัสสาวะจึงสามารถช่วยในเรื่องของโรคความดันโลหิตสูง นอกจากนี้มะเขือเทศยัประกอบไปด้วย วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 มีสารเบต้าแคโรทีน และแร่ธาตุต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายหลายชนิด เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เป็นต้น


นอกจากนี้สำหรับคุณผู้หญิงแล้วมะเขือเทศยังช่วยในเรื่องของความสวยความงามได้เช่นกัน มีการนำมะเขือเทศมารักษาสิว สมานผิวหน้าให้เต่งตึง โดยใช้น้ำมะเขือเทศพอกหน้า หรืออาจจะนำมะเขือเทศสุกฝานบาง ๆ แปะบนใบหน้า จะช่วยให้ผิวหน้าอ่อนนุ่มช่วยบำรุงผิวลดริ้วรอย ผิวพรรณไม่แห้งกร้าน ระบบการหมุนเวียนเลือดดีขึ้น มะเขือเทศมีวิตามินซีสูง รับประทานเป็นประจำ ทำให้ผิวพรรณสวย สดใส และยังช่วยในเรื่องของระบบย่อยอาการ และระบบขับถ่ายด้วย


ข้อควรระวัง  มะเขือเทศมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ผู้ที่มีอาการกรดไหลย้อนจึงควรรับประทานมะเขือเทศใน ปริมาณจำกัดนะครับ


เห็นมั้ยล่ะครับ ผักผลไม้ใกล้ตัวเรา ที่หาซื้อกันได้ง่าย ๆ ตามท้องตลาดทั่วไป แต่กลับมีคุณประโยชน์มากมาย ให้คุณค่าทางอาหารมากมายคุ้มค่าเกินราคาจริง ๆใช่มั้ยล่ะครับ เพาระฉนั้นรัปประทานกันเยอะ ๆ นะครับ จะได้สุขภาพดักันทั่วหน้า แถมสวยด้วย แล้วจะหาความรู้ดี ๆ ที่มีประโยชน์มาฝากอีกในบทความต่อไป ติตตามนะครับ


ขอขอบคุณ สารานุกรม วิกิพิเดีย ภาษาไทย

วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

"อนุมูลอิสระ(oxidant)"และ "สารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant)"

ด้วยวิวัฒนาการด้านเทคโนโลยี และการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพแวดล้อมอย่างรวดเร็วในยุคปัจจุบัน ทำให้วิถีชีวิตของผู้คนก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องของสุขภาพ ปัจจุบันผู้คนเจ็บป่วย ล้มตายด้วยโรคอันเนื่องมาจากความเสื่อมของร่างกายเพิ่มมากขึ้นทุกวัน เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคสมองเสื่อม โรคไต โรคมะเร็ง ฯลฯ ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากสภาพแวดล้อม และวิถีชีวิตที่เปลี่ยแปลงไป ตลอดจนภาวะโภชนาการที่ไม่เหมาะสมเป็นตัวผลักดัน 

และเมื่อพูดถึง โรคอันเนื่องมาจากความเสื่อมของร่างกาย มีคำอยู่คำหนึ่งที่มีการพูดถึงกันมากในปัจจุบัน คือคำว่า "อนุมูลอิสระ" (oxidant) ซึ่งความจริงแล้วกระบวนการที่ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระในร่างกายมนุษย์นั้นมีขั้นตอนละเอียดซับซ้อนมาก ซึ่งจะขออธิบายพอสังเขปเป็นเบื้องต้นก่อนนะครับ

ร่างกายของคนเราประกอบด้วยเซลล์ประมาณ 60 ล้านเซลล์ ทุก ๆ เซลล์จะมีชีวิตและทำงานอยู่ได้จะต้องมีพลังงานใช้อย่างต่อเนื่อง พลังงานนั้นคือ เอทีพี โรงงานผลิตพลังงานภายในเซลล์ แต่ละเซลล์คือไมโตคอนเดรียซึ่งเปรียบเสมือนเป็นกระบอกสูบและลูกสูบในเครื่องยนต์ เชื้องเพลิงที่ใช้คือสารอาหาร ซึ่งเป็นส่วนที่ย่อยเล็กที่สุดของอาหารที่รับประทานเข้าไป คือโปรตีนเป็นกรดอะมิโน แป้งหรือน้ำตาลเป็นกลูโคส และไขมันเป็นกรดไขมัน สารอาหารตัวใดตัวหนึ่งจะผสมกับอ็อกซิเจนที่หายใจเข้าไป ตัวที่จุดระเบิดคือ วิตามิน และโคเอ็นไซม์ ขั้นตอนสุดท้ายคือ การเปลี่ยนเอดีพีให้เป็นพลังงานเอทีพี กระบวนการสร้างพลังงานที่ไมโตคอนเดรียนี้เกิดต่อเนื่องตลอดเวลาในทุก ๆ เซลล์ และเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้เซลล์ดำรงค์ชีวิตอยู่ได้ การเกิดระเบิดในกระบอกสูบเครื่องยนต์มีสิ่งที่ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นคือ เขม่า ซึ่งถูกขับออกไปทางออกของไอเสีย แต่จะมีส่วนที่ออกไม่หมด และสะสมอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำลายกระบอกสูบนั้นตามอายุการใช้งาน ที่ไมโตคอนเดรียกระบวนการเมื่อตอนที่เอดีพี เปลี่ยนเป็นเอทีพีได้มีการใช้ออกซิเจนไปหนึ่งตัวจากที่สองตัวจับคู่กันอยู่ เมื่อคู่ถูกแยกไปส่วนที่เหลือคือ อ็อกซิเจนที่โดดเดี่ยว ชื่อว่า "อนุมูลอิสระ (oxidant)"ซึ่งก็เป็นที่ทราบกันดีว่า อนุมูลอิสระเป็นจุดเริ่มต้นของความเสื่อมของร่างกายมนุษย์ทุกคน ซึ่งก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ตั้งแต่เกิดจนถึงชีวิตที่ดำรงค์อยู่ในปัจจุบัน

วิธีบรรเทาและยับยั้ง ไม่ให้อนุมูลอิสระไปก่อให้เกิดความเสียหายกับร่างกายของเรา สามารถทำได้หลายวิธี แต่วิธีที่ทำได้ง่าย ๆ และใกล้ตัวเราที่สุดก็คือ เรื่องของอาหารการกินนั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผักผลไม้ต่าง ๆ ในธรรมชาติมี "สารต่อต้านอนุมูลอิสระ (antioxidants)"อยู่มากมาย สามารถเลือกรับประทานได้ตามฤดูกาล ผักและผลไม้บางชนิดสามารถหารับประทานได้ตลอดทั้งปี จะรับประทานแบบสด ๆ หรือนำไปประกอบอาหารก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละคนนะครับ


ขอขอบคุณ นพ.พัลลภ โพธิพฤกษ์
แพทย์ผู้ชำนาญการโรคหัวใจ และ
ผู้ก่อตั้งศูนย์หัวใจโรงพยาบาลศิริราช