วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ดื่มน้ำทับทิม "pomegranate juice" เป็นประจำ ลดความเสี่ยงเกิดโรคร้าย

ดื่มน้ำทับทิม "pomegranate juice" เป็นประจำ ลดความเสี่ยงเกิดโรคร้าย



คิดว่าหลายๆ คน โดยเฉพาะคุณสาวๆ ทั้งหลาย อาจจะเคยได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับสรรพคุณของ "ทับทิม" (pomegranate) กันมาบ้างแล้ว แต่เข้าใจว่าส่วนมากคงจะรับรู้เกี่ยวกับสรรพคุณที่ช่าวในเรื่องของความสวย ความงามซะมากกว่า โดยเฉพาะผู้ผลิตอาหารเสริมหลายเจ้าได้นำผลทับทิมมาสกัดเป็น น้ำทับทิม "pomegranate juice" และวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ เน้นไปที่ความสวย ความงาม ทำให้ผิวพรรณขาวกระจ่างใส นุ่มนวลเปร่งปรั่ง อะไรประมาณนี้ แต่จริงๆ แล้ว ทับทิมเป็นผลไม้ที่ให้ประโยชน์มหาศาลอย่างที่เราอาจคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

ถึงขนาดรายงานของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ที่สหรัฐอเมริกา จัดให้ น้ำทับทิม "pomegranate juice" เป็นสุดยอดของน้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ

ดร.ณัฐพล ตั้งสุภูมิ สถาบันวิจัยโภชนาการ ม.มหิดล อธิบายว่า น้ำทับทิม "pomegranate juice" มีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระมากเกือบ 3 เท่า ของชาเขียวและไวน์แดงในปริมาณที่เท่ากัน

นอกจากนี้ น้ำทับทิมยังเป็นแหล่งที่ดีของวิตามินซี, วิตามินบี 5 และโพแทสเซียม

ซ้ำมีงานวิจัยบอกว่า ดื่มน้ำทับทิม "pomegranate juice" เป็นประจำช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด ลดความดันโลหิต ต่อต้านเชื้อแบคทีเรียและการติดเชื้อจากไวรัส ลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก ลูคีเมีย เบาหวาน ไปจนถึงลดการสร้างเม็ดสีใต้ผิวหนัง

อย่างไรก็ตาม น้ำทับทิม "pomegranate juice" ในท้องตลาดมีปริมาณน้ำตาล 11 -12% ซึ่งนับว่าสูงทีเดียว เปลี่ยนไปดื่มน้ำทับทิมสดน่าจะดีกว่า.

วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เคล็ดลับความงาม กำจัดฝ้า "Melasma" 7 วิธีรักษา ด้วยวิธีธรรมชาติ

เคล็ดลับความงาม กำจัดฝ้า "Melasma" 7 วิธีรักษา ด้วยวิธีธรรมชาติ




ด้วยสภาพทางภูมิศาสตร์ของบ้านเรา ที่่ตั้งวางแหมะลงกลางเส้นศูนย์สูตร คงหนีไม่พ้นเรื่องแดดร้อนเปรี้ยงๆ เป็นแน่แท้ ไม่ว่าหน้าฝน หน้าหนาวแดดเปรี้ยงได้หมด เพราะฉนั้นได้โปรดอย่าไปฝันหวานว่าจะได้ใส่เสื้อกันหนาวสวยๆ หนาๆ แล้วเอาผ้ามาพันรอบคอเดินทอดน่องคอตกเป็นนางเอกขี้โรคซีรี่ย์เกาหลี อยากบอกว่า No Way!!!

ที่ร่ายยาวมาขนาดนี้ก็แค่จะบอกว่าอากาศร้อน แดดเปรี้ยงๆ อย่างบ้านเรานั้นเป็นภัยร้ายอย่างยิ่ง ที่คุกคามความสวย ความงามของหนุ่มๆ สาวๆ บ้านเรา โดยเฉพาะเมื่อเม็ดสีผิวหรือเม็ดสีเมลานินทำงานมากเกินไป เนื่องมาจากเจ้าเม็ดสีเมลานินนั้นมีหน้าที่กรองรังสียูวี เมื่อผิวได้รับแสงแดดมากขึ้น เมลานินก็จะถูกผลิตออกมามากขึ้นตามไปด้วย แล้วก็อาจมีข้ออบกพร่องในการกรองรังสียูวี ทำให้รังสีที่มีผลต่อการเกิดฝ้า "Melasma"คือ “รังสี UVA” เข้าไปสามารถทำลายผิวได้ลึก จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเมื่อตากแดดนานๆ แล้วผิวถึงคล้ำเสีย และเกิดฝ้า "Melasma"ได้ รวมไปถึงฮอร์โมนและกรรมพันธุ์ ก็เป็นสาเหตุของการเกิดฝ้า "Melasma"ได้เช่นกัน เพราะฉนั้นวันนี้มีวิธีรักษาฝ้า "Melasma" ปัญหาหนักหน้าอันไม่พึงประสงค์ออกไป ด้วย 7 วิธีธรรมชาติล้วนๆ

วิธีกำจัดฝ้า "melasma" ด้วยวิธีธรรมชาติ

1. สูตรมะขามเปียก



อีกหนึ่งวิธีรักษาฝ้าด้วยสมุนไพร ให้คุณนำเนื้อมะขามเปียกมาพอกหรือทาบางๆ บริเวณผิวที่เป็นรอยฝ้า ทิ้งไว้ประมาณ 3-5 นาที แล้วล้างออก วิธีนี้จะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าทำให้รอยฝ้าดูจางลงและยังช่วยลดรอยด่างดำได้ด้วย แต่ถ้าที่บ้านคุณไม่มีมะขามเปียก ก็อาจเลือกใช้เป็นน้ำมะนาวหรือน้ำมะกรูดแทนก็ได้

2. สูตรหัวไชเท้า


หัวไชเท้า สามารถนำมาทำเป็นสูตรรักษาฝ้าได้ โดยคุณสามารถทำได้ง่ายๆ เพียงแค่นำหัวไชเท้าบดหยาบๆ มาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 10-20 นาที (แล้วแต่สภาพหน้าของแต่ละคนว่ารับได้แค่ไหน ส่วนคนที่มีผิวแพ้ง่ายไม่ควรใช้สูตรนี้) แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

3. สูตรใบบัวบก




สมุนไพรรักษาฝ้าอีกสูตร ซึ่งจากการวิจัยพบว่าใบบัวบกนั้นมีสรรพคุณในการช่วยรักษาอาการของโรคผิวหนังได้ โดยเฉพาะฝ้า กระ และสิว วิธีใช้ก็ไม่ยาก เพียงแค่นำมาปั่นแล้วใช้น้ำใบบัวบกมาเช็ดหน้าแทนการใช้โทนเนอร์ก่อนนอนทุกวัน เพียงเท่านี้รอยฝ้าต่างๆ ก็จะค่อยๆ จางลง เหลือไว้แต่เพียงหน้าอันขาวเนียนสดใส

4. สูตรว่านหางจระเข้


ว่านหางจระเข้ ถือเป็นสมุนไพรใช้รักษาแผล ยอดนิยมมากๆ วิธีหนึ่ง โดยวิธีรักษาฝ้าแบบธรรมชาติ ให้คุณใช้ว่านหางจระเข้ 1 ใบใหญ่ (เลือกใบล่างๆ แบบที่แก่แล้ว) นำไปแช่น้ำประมาณ 10 นาที จากนั้นก็ปอกเปลือกออกและล้างให้สะอาด นำไปปั่นหรือบดก็ได้ตามถนัด แล้วจึงนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที โดยสูตรนี้หากทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ก็จะช่วยให้ฝ้าหายได้ไวยิ่งขึ้น

5. สูตรไข่ขาว



อาจจะมีกลิ่นคาวสักหน่อย เพียงแค่นำไข่ขาวบริเวณรอบๆ ไข่แดง (เฉพาะไข่ขาว) มาทาบางๆ ให้ทั่วบริเวณที่เป็นฝ้า ทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที ไข่ขาวจะช่วยดูดซับรอยฝ้าและสิ่งสกปรกให้หมดไปจากใบหน้าของคุณได้


 6.สูตรน้ำส้มสายชูจากผลแอปเปิ้ล



ใครจะรู้ว่าน้ำส้มสายชูจากผลแอปเปิ้ลจะมีประโยชน์ในด้านการช่วยดูแลผิวพรรณได้ตั้งแต่หัวจรดเท้าเนื่องจากในน้ำส้มสายชูนั้นมีฤทธิ์กรดจึงช่วยทำให้ผิวดูกระจ่างใสและเนียนนุ่มขึ้นได้เพียงแค่คุณนำมันมาผสมกับน้ำเปล่าเล็กน้อย แล้วใช้สำลีชุบและเช็ดให้ทั่วใบหน้า รอจนแห้วแล้วจึงล้างออก

7. บำรุงจากภายในสู่ภายนอก


นอกจากการรักษาด้วยวิธีต่างๆ ในระหว่างการรักษาเราสามารถดูแลตัวเองจากภายในได้โดยการรับประทานทานอาหารที่มีส่วนผสมของวิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอี ที่เป็นตัวช่วยทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ฝ้าขยายตัวใหญ่ขึ้นนั่นเอง


อันที่จริงแล้ว ก่อนจะไปถึงการรักษา การป้องกันเป็นเรื่องสำคัญที่สุด คุณควรเริ่มต้นจากการหลีกเลี่ยงแสงแดด ถ้าหากต้องเผชิญแสงแดดก็ควรแต่งกายแบบไม่เผยผิวพร้อมกับทาครีมกันแดดเพื่อป้องกันผิวจากรังสียูสี โดยเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF30 ขึ้นไป และต้องเป็นแบบ PA+++ ด้วย ถึงจะช่วยปกป้องผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าต้องอยู่ภายใต้แสงแดดตลอดทั้งวัน คุณอาจเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงมากกว่านี้ แต่ให้หมั่นทาครีมกันแดดบ่อยๆ อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าครีมกันแดดยังมีประสิทธิภาพดีพอต่อการป้องกันแสงแดด

นอกจากนี้คุณควรสังเกตตัวเองด้วยว่าเรารับประทานยาอะไรที่เสี่ยงต่อการเกิดฝ้า "melasma" หรือเปล่าเช่นยาคุมกำเนิดใช้เครื่องสำอางอะไรแล้วแพ้จนเป็นรอยคล้ายฝ้า "melasma" หรือไม่











วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Anti-aging medicine - เวชศาสตร์ชะลอวัย "หยุดความแก่"

Anti-aging medicine - เวชศาสตร์ชะลอวัย "หยุดความแก่"

หลักของความเป็นจริงไม่มีใครหนีความแก่ชราไปได้ แต่หากมีศาสตร์ที่ช่วยยืดอายุมนุษย์อย่าง “เวชศาสตร์ชะลอวัย” ที่ไม่ต้องพึ่งเครื่องมือทางการแพทย์ให้มากมาย เพียงแต่ต้องทำความรู้จักตนเองก่อน



“ความแก่” เข้าใคร-ออกใครที่ไหนล่ะ ลองถามคนใกล้ตัวคุณได้เลยว่าใครอยากแก่...“ไม่มี” ตอบแทนได้เลย ยิ่งเป็นผู้หญิงแล้วล่ะก็...ไม่ต้องพูดถึง อะไรที่เกี่ยวกับความสวยความงาม รับรองไม่มีทางพลาด!!!

แล้วจะมีวิธีชะลอความแก่ได้หรือไม่? พญ.วรรณวิพุธ สรรพลิทธิ์วงศ์ แพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัย ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ บอกผ่าน “เดลินิวส์ออนไลน์” ถึงวิธีการดูแลให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์คงความเป็นหนุ่มสาวแบบหมดเปลือกว่า...“เวชศาสตร์ชะลอวัย” คือการแพทย์สำหรับการมีชีวิตที่ยืนยาว (Longevity Medicine) ยึดหลักการดูแลและป้องกันสุขภาพเมื่อมีอายุมากขึ้น (Anti-aging medicine) เป็นการแพทย์เชิงรุก ก่อนที่จะมีปัญหาเกิดขึ้น หรือหากเกิดขึ้นจะเยียวยารักษาอย่างไร ชะลอให้ช้าที่สุด และมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตประจำวันให้น้อยที่สุด โดยผู้ป่วยจะแบ่งออกเป็น 3 ระยะคือ 1.การป้องกัน เพราะโรคบางชนิดนำไปสู่โรคอื่นๆตามมา 2.ชะลอความเสื่อม หรือป้องกันภาวะแทรกซ้อน3.ฟื้นฟู ซึ่งแพทย์จะออกแบบวิธีรักษาให้อวัยวะที่เสื่อมเหล่านั้นกลับมาทำงานได้ หรือคงความเสื่อมไม่ให้รุนแรงมากกว่าที่เป็นอยู่

“ความโดดเด่นของการแพทย์ด้านชะลอวัย คือเรื่องการฟื้นฟู เนื่องจากหากประสบความสำเร็จในการรักษาหรือชะลอการก่อโรคได้ ก็จะแห่กันเข้ามารักษาบ้าง ซึ่งแท้จริงแล้ว หมอทำหน้าที่เป็นโค้ช คล้ายๆ หมอประจำครอบครัว แนะนำให้กินอยู่ อย่างถูกต้องตามหลักโภชนาการ”

ต้องบอกด้วยว่า...แก่นของศาสตร์ด้านการชะลอวัย คือ เรื่องไลฟ์สไตล์ในการดำเนินชีวิตประจำวัน หมอจะพยายามออกแบบวิธีการใช้ชีวิตให้กลับไปสู่จุดเริ่มต้น Back to basic นำหลักการกิน นอน ออกกำลังกาย และการบริหารอารมณ์ มาใช้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์คือ you are what you eat

1.อาหาร...รับประทานให้มีความหลากหลาย ควรทานเพียง 80% ของกระเพาะอาหาร ซึ่งวิธีสังเกตว่า ทานแป้งมากเกินไปหรือไม่ หลังทานเสร็จใน 2 ชม.หากรู้สึกง่วง แสดงว่าทานแป้งมากเกินไป อีกทั้งคนไทยมักไม่ทานผัก จึงขาดไฟเบอร์จากผักใบเขียวเข้ม ส่วนผลไม้ที่มีกากใยอาหารมาก แนะนำคือ “ฝรั่ง” ช่วยดูดซึมของน้ำตาลและไขมัน หรือ “แอปเปิ้ล” “ชมพู่”

2.ออกกำลังกาย...โดยยึดกิจวัตรประจำวันทางกาย (Physical Activities) ซึ่งถ้าได้กระทำสม่ำเสมอจะเป็นพฤติกรรมที่สร้างเสริมสุขภาพ และมีผลต่อการป้องกันโรคลอดเลือดหัวใจตีบ เส้นเลือดในสมองตีบ โรคกระดูกพรุนในผู้สูงอายุ แต่วิธีที่แนะนำ คือ เดินชะลอวัย ป้องกันโรคมะเร็ง โรคหัวใจ เพียงเดินวันละ 1หมื่นก้าว รวมระยะทางประมาณ 5กม.

3.สุขอนามัยการนอน (Sleep Hygiene)...หากจะนอนเพื่อให้มีชีวิตอยู่ วันละ 3-5 ชม.ก็เพียงพอ แต่หากต้องการนอนแบบมีคุณภาพ อย่างน้อยวันละ 7-8 ชม. ส่วนการนอนกลางวัน (power nap) ประมาณ 20 นาที ก็จะช่วยให้สมองได้พักผ่อน

พญ.วรรณวิพุธ ยังแนะนำวิธีในการนอนหลับที่ถูกต้องและน่าสนใจว่า 1.ความสว่าง หลับขณะนอนดูทีวี แสงสีฟ้าจะยับยั้งการผลิตฮอร์โมเมลาโทนิน ยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งต่ำ เมื่อสิ่งเร้ามารบกวนยิ่งทำให้ลดลง 2.คลื่นไฟฟ้าจากมือถือ หากใช้เป็นเวลานาน 10-20 ปี สมองข้างใดข้างหนึ่งเสี่ยงเป็นเนื้องอกในสมอง ควรวางให้ไกลศรีษะอย่างน้อย 1 ฟุต แต่ปิดเครื่องดีที่สุด 3.เตียง ต้องเหมาะกับร่างกายของผู้นอน เช่น คนปวดหลังก็ควรนอนเตียงแข็ง ไม่ใช่เตียงนุ่มๆ

แท้จริงแล้ว...หลักของความเป็นจริงไม่มีใครหนีความแก่ชราไปได้ แต่หากมีศาสตร์ที่ช่วยยืดอายุมนุษย์อย่าง “เวชศาสตร์ชะลอวัย” ที่ไม่ต้องพึ่งเครื่องมือทางการแพทย์ให้มากมาย เพียงแต่ต้องทำความรู้จักตนเองเสียก่อน ถึงจะวางแผนได้ถูก ว่าจะต้องรักษาตนเองด้วยวิธีไหน

ไม่เช่นนั้น! การเดินผ่านร้านหมูปิ้งเจ้าประจำ คุณจะไม่รู้เลยว่า เลือกกินอย่างไรถึงจะไม่อ้วน และโรคไม่ถามหา!!!

บทความ : Dailynews

วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ลดอ้วน กินเห็ด "mushroom" เสริมคุณค่า ยาอายุวัฒนะ รักษาโรค

ลดอ้วน กินเห็ด "mushroom" เสริมคุณค่า ยาอายุวัฒนะ รักษาโรค "เห็ด" เป็นอาหารโปรตีนสูง มีกรดอะมิโนที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย มีวิตามินและแร่ธาตุมากมาย โดยเฉพาะวิตามินบี ซี ดี ธาตุเหล็ก ทองแดง ไทอะมิน ฟอสฟอรัส


ช่วงนี้กระแสอาหารเพื่อสุขภาพกำลังมาแรง จึงทำให้หลายๆ คนหันมาให้ความสนใจกับอาหารที่ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ให้มากขึ้น

อย่าง "เห็ด" ก็ถือว่าเป็นอาหารเพื่อสุขภาพชนิดยอดเยี่ยมที่เราๆ รู้จักเป็นอย่างดีทีเดียว และยังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้ เช่น เห็ดหอม เห็ดหูหนู เห็ดฟาง เห็ดนางรม เห็ดนางฟ้า เห็ดเข็มทอง เห็ดแชมปิญอง เป็นต้น ซึ่งเห็ดก็มีหลายชนิดหลากรสชาติแตกต่างกันออกไป แต่เห็ดทุกๆ ชนิด ก็ล้วนแล้วแต่ทรงคุณค่าทางอาหารด้วยกันทั้งสิ้น เพราะว่าถ้าเพื่อสุขภาพที่ดีแล้ว เราจำเป็นที่จะต้องสแกนอาหารทุกอย่างที่ดีเข้าสู่ร่างกายของเราเอง

"เห็ด" เป็นอาหารโปรตีนสูง มีกรดอะมิโนที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย มีวิตามินและแร่ธาตุมากมาย โดยเฉพาะวิตามินบี ซี ดี ธาตุเหล็ก ทองแดง ไทอะมิน ฟอสฟอรัส มีไขมันแบบที่ร่างกายต้องการ มีแคลอรี่ต่ำ ดังนั้นจึงถือว่าเป็นอาหารที่ “ผู้ต้องการควบคุมน้ำหนัก” ควรเลือกบริโภคเป็นจานแรกๆ นอกจากนี้ยังสามารถช่วยรักษาโรคได้มากมาย อาทิ ช่วยลดไข้ ดับร้อนใน แก้ช้ำใน บำรุงร่างกาย ลดระดับน้ำตาลและคอเลสเตอรอลในหลอดเลือด ลดความดัน ขับปัสสาวะ คลายหงุดหงิด บำรุงเซลล์ประสาท รักษาอาการอัลไซเมอร์ ช่วยควบคุมการทำงานของอวัยวะสำคัญของร่างกาย และที่สำคัญ...ยังยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งได้อีกด้วย

1."เห็ดหูหนู" เป็นสุดยอดของเห็ด เพราะมีส่วนช่วยในการป้องกันการเกิดโรคภัยต่างๆ เหมาะกับผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคหัวใจ เนื่องจากมีฤทธิ์ต้านการเกาะตัวของเกล็ดเลือด และมีคุณสมบัติในการลดไขมันในเลือด โดยมีสารอะดีโนซีนที่ช่วยลดความเข้มข้นของเลือด ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตัน จึงไม่ทำให้เกิดเป็นลิ่มเลือดไปอุดตันเส้นเลือดหัวใจ สมอง และอวัยวะอื่นๆ

2."เห็ดหอม" ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้มีประสิทธิภาพในการต่อสู้ ยับยั้ง หรือป้องกันการเติบโตของเซลล์เนื้องอกและมะเร็งได้ดี ช่วยให้ไตย่อยคอเลสเตอรอลได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ปริมาณไขมันในเลือดและระดับคอเลสเตอรอลลดลง ป้องกันโรคความดันโลหิตสูงและโรคหลอดเลือดหัวใจ ยังช่วยให้กระดูกและกล้ามเนื้อแข็งแรง ป้องกันโรคกระดูกผุ โรคโลหิตจางได้

3."เห็ดแชมปิญอง" ช่วยในการรักษาและป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านมมากที่สุด โดยสารบางอย่างในเห็ดนี้ไปช่วยยับยั้งเอนไซม์อะโรมาเตส ทำให้เกิดการยับยั้งการเปลี่ยนฮอร์โมนเอนโดรเจนเป็นฮอร์โมนเอสโตรเจนในผู้ หญิงวัยหมดประจำเดือน เมื่อร่างกายผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนได้น้อยลงก็ลดโอกาสการเจริญเติบโตของเซลล์ มะเร็งเต้านมให้น้อยลงตามไปด้วย

“ทวีทรัพย์ เหลืองนทีเทพ” เจ้าของธุรกิจส่วนตัว อดีตผู้จัดการฝ่ายโภชนาการเนสเล่ อธิบายว่า "มีผลการวิจัยอยู่ 2 แบบ คือตะวันตกกับตะวันออก โดยการวิจัยแบบตะวันตก พบว่า ในเห็ดมีสารเฉพาะบางอย่าง สามารถนำไปเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย และมีวิตามิน ซึ่งในที่นี้หมายถึง...ถ้าเรารับประทานในปริมาณเยอะ ก็จะได้สารอาหารเท่ากับจำนวนที่เรากินเข้าไป แต่ในแบบตะวันออก อย่างคนจีน จะสกัดเห็ดนำมาเป็นสรรพคุณในการรักษาโรค ถือเป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้เลือดลมดี ต้านโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดี"

" ถือว่า "เห็ด" มีคุณค่าสารอาหารขนาดนี้ เราทุกคนควรหันมารับประทานกันให้มากขึ้นในฐานะผู้บริโภคยุคใหม่ เพื่อมาเสริมสร้างสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง มีชีวิตที่ดีและมีความสุขตลอดไป

บทความ : Dailynews

วันพุธที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เคล็ดลับความงาม แต่งให้สวยด้วย "แป้งเด็ก" - Baby powder

เคล็ดลับความงาม แต่งให้สวยด้วย "แป้งเด็ก" - Baby powder




หากได้รู้ถึงสรรพคุณมากมายที่หาได้จาก “แป้งเด็ก” แล้วละก็ “หลายคน” อาจจะอ้าปากหวอเลยทีเดียว 

รู้กันหรือไม่ว่า? "แป้งเด็ก" ที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าเอาไว้ใช้สำหรับเด็กน้อย หรือเอามาทาตัวเวลาอาบน้ำเสร็จเท่านั้น แต่หารู้ไม่ว่า สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลายอย่าง มากกว่าที่คุณคิด 

หากได้รู้ถึงสรรพคุณมากมายที่หาได้จาก “แป้งเด็ก” แล้วละก็ “หลายคน” อาจจะอ้าปากหวอเลยทีเดียว โดยเฉพาะคุณสมบัติในการใช้ตกแต่งเสริมความงามให้กับสาวๆ วันนี้จึงมี 9 ข้อเคล็ดลับของ "แป้งเด็ก" ที่สามารถนำมาใช้เสริมความงามง่ายๆ มาฝากกัน 

1.เพิ่มความหนาให้ขนตา ใช้แป้งเด็กทาที่บริเวณขนตา จะช่วยเพิ่มทั้งความหนา ความยาว และน้ำหนัก ถ้ามาสคาร่าของคุณมีแนวโน้มว่าจะเลอะเทอะง่าย ให้เคลือบแป้งเด็กลงบนขนตา ก่อนที่จะปัดมาสคาร่าลงไป จะช่วยป้องกันรอยเปื้อนและทำให้ดูสะอาดสวยงามอีกด้วย 

2.แชมพูแบบแห้ง รวดเร็วทันใจ ใช้แป้งเด็กทาบริเวณโคนผมเพียงเล็กน้อย จากนั้นใช้แปรงปัดให้ทั่ว แป้งเด็กจะช่วยดูดซับน้ำมันบนหนังศีรษะและเพิ่มความหนาให้กับเส้นผม 

3.ขจัดความมันเงาบนใบหน้า หากถ่ายรูปท่ามกลางแสงจ้าของแฟลช ขอแนะนำให้ทาแป้งเด็กเพื่อช่วยดูดซับเหงื่อและลดความมันบนใบหน้าลงได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวเข้ม เนื่องจากโทนสีเข้มจะยิ่งสะท้อนแสงแฟลชจากกล้องเข้า ไปอีก นอกจากนี้คุณยังสามารถเพิ่มความสว่างให้กับแป้งลูสพาวเดอร์ได้ โดยการผสมแป้ง เด็กเข้าไปเล็กน้อย 

4.จัดระเบียบลิปสติก การทาแป้งเด็กเพียงเล็กน้อยระหว่างขั้นตอนในการทาลิปสติก จะทำให้ลิปสติกติดทนนานยิ่งขึ้น เริ่มจากทาลิปสติกลงไปชั้นหนึ่งก่อน จากนั้นวางกระดาษทิชชู่ทั้งแผ่น ทับลงไปบนริมฝีปากแล้วใช้แปรงชุบแป้งเด็กปัด ลงไปบนริมฝีปากที่มีกระดาษทิชชู่กั้นอยู่ แล้วค่อยทาลิปสติกชั้นที่สองทับลงไปอีกครั้ง แค่นี้ก็ออกไปสวยเริ่ดนอกบ้านได้แล้ว 

5.ดูดซับเหงื่อจากอากาศร้อนอบอ้าว การเป็นสาวเร่าร้อนเหงื่อท่วมกาย ไม่ได้ทำให้คุณดูเซ็กซี่เหมือนอย่างที่เห็น ในทีวีหรอกนะ สำหรับผู้ที่ต้องทนทรมานกับความร้อนอบอ้าวในช่วงฤดูร้อน ยิ่งถ้าเป็นเวลากลางคืนหากไม่มีเครื่องปรับอากาศด้วยแล้วล่ะก็.. คุณสามารถใช้แป้งเด็กโรยบนผ้าปูที่นอนเพื่อช่วยดูดซับเหงื่อและทำให้อากาศ เย็นลงได้ 

6.ปกปิดรอยแผล/รอยขีดข่วน ใช้แป้งเด็กโรยเพื่อปกปิดรอยแผลเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่น รอยมีดบาดบริเวณแขน ขา หรือบริเวณผิวหนังที่คนอื่นจะมองเห็นได้ รวมทั้งยังสามารถโรยแป้งเด็กบริเวณข้อพับ ขาหนีบ หรือรักแร้เพื่อป้องกันเหงื่อและแผลถลอกจากการเสียดสีได้อีกด้วย 

7.ดูแลผิวยามแว็กซ์ขน หากคุณแว็กซ์ขนไม่ว่าจะเป็นส่วนไหนของร่างกาย คุณย่อมรู้ซึ้งถึงความเจ็บปวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณที่มีผิวมัน หรือบริเวณที่เพิ่งทามอยซ์เจอร์ไรเซอร์มาใหม่ๆ แค่โรยแป้งเด็กลงไปก่อนที่จะแว็กซ์ แว็กซ์ก็จะติดเฉพาะแค่ขนของคุณ...ไม่ใช่ผิวหนัง! 

8.สะอาดจากเม็ดทราย ถ้าคุณไปเดินเล่นริมชายหาดแล้วพบว่าขาของตัวเองเปื้อนทรายเต็มไปหมด ทาแป้งเด็กและใช้แปรงปัดเบาๆ เพียงเท่านี้...ทรายก็จะหลุดออกอย่างง่ายดาย 

9.เท้าอับชื้น หากคุณไม่มีเวลาอาบน้ำหลังจากที่ออกกำลังกาย หรือต้องใส่รองเท้าทั้งที่เท้ายังชุ่มเหงื่ออยู่ ขอแนะนำให้โรยแป้งเด็กไว้ด้านในของรองเท้าเพื่อดูดซับเหงื่อและกลิ่นที่ไม่ พึงประสงค์จากเท้าของคุณ 

ด้วยคุณสมบัติที่หลายหลาย และสรรพคุณที่มีอยู่ในตัวมากมายของ "แป้งเด็ก" รู้แบบนี้แล้ว คงทำให้หลายๆ คนโดยเฉพาะสาวๆ หันมาสนใจใช้แป้งเด็กในการประทินโฉมมากขึ้น

เพราะนอกจากจะหาซื้อง่าย และมีราคาไม่แพง อีกทั้งกลิ่นก็ยังหอมสดชื่น จนอาจทำให้หนุ่มๆ ติดใจกันเป็นแถวๆ ก็เป็นได้.

บทความ : Dailynews